เตรียมตัวสัมภาษณ์งานเรื่องใหญ่… สัมอย่างไรให้โดนใจ HR!

เมื่อได้รับการแจ้งให้ไปสัมภาษณ์ที่บริษัทแล้วก็ทำให้หลายคนต้องกังวลกับการพบเจอกันในครั้งแรกว่าจะสามารถสร้างความประทับใจได้อย่างเต็มที่หรือไม่ ยิ่งการสัมภาษณ์ที่จะมีการประเมินว่าเหมาะสมกับการเข้าทำงานหรือไม่ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้หลายคนตื่นเต้นและกังวลกันมากขึ้นไปอีกว่าควรจะเตรียมพร้อมอย่างไรให้สัมภาษณ์ได้อย่างตรงใจ HR  วันนี้ JOBCAN จึงได้เอาเทคนิควิธีการเตรียมความพร้อมเพื่อให้สัมภาษณ์ได้อย่างโดนใจ และได้รับโอกาสในการทดลองงานในที่สุด โดยวิธีการเตรียมตัวนี้มีเพียง 7 วิธีง่ายๆ เท่านั้น เชื่อว่าทุกคนสามารถเตรียมพร้อมได้อย่างแน่นอน มาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง เตรียมตัวและเอกสารให้พร้อม ในการสัมภาษณ์งานนั้นนับเป็นการนำเสนอความสามารถของผู้ถูกสัมภาษณ์ทางหนึ่ง และยังเป็นการประเมินถึงนิสัย ความรับผิดชอบและแนวความคิดในการทำงานและใช้ชีวิตในเบื้องต้นอีกด้วย ดังนั้นการเตรียมความพร้อมในเรื่องเอกสารส่วนตัวและการนำเสนอผลงานจึงเป็นจุดหนึ่งที่ต้องลิสต์เอาไว้และเช็คอย่างน้อย 2 รอบเพื่อความแน่ใจว่าเอกสารและผลงานทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมอยู่ในกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว หรือใครที่ใช้วิธีการฝากไฟล์ไว้บนคลาวด์หรือบนเว็บไซต์ก็อย่าลืมเข้าไปตรวจเช็คว่าสามารถเปิดดูได้อยู่ ศึกษาบริษัทหรือองค์กรที่จะไปสัมภาษณ์ “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” ยังคงใช้ได้ในปัจจุบันแม้จะไม่ใช่การทำสงครามแต่ในยุคที่ทุกอย่างรายล้อมไปด้วยข้อมูลนี้ การหาข้อมูลรายละเอียดของบริษัทหรือองค์กรที่จะไปสัมภาษณ์นั้นไม่ใช่เรื่องยากมากนักทั้งยังจะช่วยให้สามารถตอบคำถามได้อย่างตรงจุดมากขึ้น นำเสนอผลงานหรือความสามารถที่ตรงกับความต้องการขององค์กรได้ด้วย และที่สำคัญยังทำให้องค์กรประทับใจในความกระตือรือร้นที่จะร่วมงานกันอีกด้วย  จัดเตรียมชุดให้เหมาะสม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการตัดสินผู้คนจากภายนอกนั้น เป็นส่วนหนึ่งที่ทุกคนและทุกองค์กรต่างทำกันทั้งนั้นเพราะการเลือกเสื้อผ้าและการดูแลตัวเองให้ดูเหมาะสมเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงความรับผิดชอบของผู้สมัครได้เป็นอย่างดี ซึ่งในวันสัมภาษณ์ควรมีการแต่งกายที่เหมาะสม โดยผู้ชายควรสวมเสื้อเชิ้ต กางเกงแสลคขายาวพร้อมกับรองเท้าหนังในการสัมภาษณ์ และผู้หญิงควรสวมชุดสุภาพเช่น เสื้อเชิ้ต กางเกงขายาวหรือกระโปรง หรือชุดเดรสพร้อมกับรองเท้าหุ้มส้นอย่างรองเท้าหนังหรือคัตชู เป็นต้น ศึกษาผลงานของบริษัทและ Job Description การคัดเลือกความสามารถของผู้สมัครเพื่อร่วมงานกันนั้น บางครั้งอาจไม่ได้วัดกันที่ความสามารถเสมอไป แต่ยังดูที่สไตล์ของการทำงาน แนวทางหรือความพิเศษเฉพาะทางบางอย่างที่ตรงกับผลงานของบริษัท ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถพบเจอได้ใน Job Description ดังนั้น จึงควรทำการศึกษาถึงผลงาน แนวทางการทำงานและหน้าที่ที่จะได้รับมอบหมายว่าจะออกมาเป็นอย่างไร […]

เงินชดเชยเลิกจ้าง

คนทำงานต้องรู้! กรณี “ถูกเลิกจ้าง” ต้องได้รับเงินชดเชยเท่าไร

ในสถานการณ์ที่ไม่อาจทราบได้ว่าการระบาดของเชื้อไวรัสจะส่งผลอย่างไรต่อไป การวางแผนอนาคตถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจและมนุษย์เงินเดือนทุกคน จะเห็นได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่เชื้อไวรัสระบาดขั้นรุนแรงจนส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศถดถอย หลายบริษัทไม่สามารถรับมือกับสภาวะขาดทุนได้ บวกกับการไม่มีเงินทุนสำรองเพียงพอ ส่งผลให้บริษัทเหล่านั้นต่างพากันทยอยปิดกิจการและทำให้ลูกจ้างถูกลอยแพจากการเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม ในวันนี้ Jobcan จึงอยากชวนผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของธุรกิจ รวมไปถึงกลุ่มลูกจ้างมนุษย์เงินเดือนมาเรียนรู้กฎหมายที่กำหนดไว้เกี่ยวกับเงินชดเชยกรณีเลิกจ้าง เพื่อเป็นเกร็ดความรู้สำหรับผู้ประกอบการว่าหากธุรกิจไปต่อไม่ไหวต้องแจ้งลูกจ้างอย่างไร ในส่วนของลูกจ้างก็จะสามารถรับมือได้อย่างถูกต้องหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นในอนาคต เงินชดเชยกรณีเลิกจ้างคืออะไร เงินชดเชยเลิกจ้าง คือ เงินที่ลูกจ้างจะต้องได้รับจากนายจ้าง หากเกิดการเลิกจ้างกะทันหันโดยลูกจ้างไม่สมัครใจ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดสิทธิของลูกจ้างต่อกรณีการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมโดยมีเงื่อนไขว่า นายจ้างต้องแจ้งให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าก่อนการเลิกจ้าง ห้ามนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างด้วยเหตุผลอันไม่สมควร หากเกิดการเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมขึ้นโดยไม่ได้มีการบอกกล่าวล่วงหน้าและนายจ้างไม่สามารถรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานได้ นายจ้างจะต้องจ่ายเงินชดเชยกรณีเลิกจ้างให้กับลูกจ้างตามที่กฎหมายกำหนด เงื่อนไขที่ลูกจ้างต้องได้รับเงินชดเชยกรณีเลิกจ้าง ลูกจ้างจะได้รับเงินค่าชดเชยจากนายจ้างเมื่อต้องออกจากงานโดยไม่สมัครใจ โดยมีเงื่อนไขคือลูกจ้างต้องมีอายุงานครบ 120 วันขึ้นไป และต้องไม่กระทำผิดหรือถูกเลิกจ้างจากสาเหตุดังต่อไปนี้ ลูกจ้างลาออกเองโดยสมัครใจ ลูกจ้างมีเจตนาทุจริตต่อนายจ้าง ลูกจ้างจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ลูกจ้างประมาทเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายร้ายแรง ลูกจ้างฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับในการทำงาน ลูกจ้างขาดงานติดต่อกันเกิน 3 วันโดยไม่มีเหตุอันควร ลูกจ้างได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา เลิกจ้างตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา เงินชดเชยกรณีเลิกจ้างต้องได้รับเท่าไร ตามกฎหมายแล้ว เงินชดเชยเลิกจ้างที่ลูกจ้างจะได้รับนั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ค่าชดเชยถูกเลิกจ้าง และค่าชดเชยพิเศษ ค่าชดเชยถูกเลิกจ้าง หากมีการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมกับลูกจ้างแบบกะทันหัน ลูกจ้างสามารถเรียกร้องเงินชดเชยกับนายจ้างได้ โดยจำนวนเงินชดเชยจะขึ้นอยู่กับเกณฑ์ตามอายุงานของลูกจ้าง ดังนี้ 1. […]

5 สเต็ป…เอาชีวิตรอดช่วงทดลองงาน ทำยังไงให้ผ่านโปร

หลังจากผ่านด่านการสัมภาษณ์งานมาแล้ว พนักงานใหม่หลายคนก็จะต้องมาลุ้นกันอีกครั้งในด่านการทดลองที่อาจทำให้หลายคนต้องลุ้นระทึก เพราะผ่านด่านมาตั้งมากมายจนได้มาถึงตรงนี้ แต่หากต้องถูกคัดออกเพราะทดลองงานไม่ผ่านนี่ก็นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากทีเดียว ดังนั้น JOBCAN จึงได้รวบรวมเอาเทคนิคขั้นตอนที่จะช่วยให้สามารถเป็นผู้รอดชีวิตในช่วงทดลองงานอย่างแท้จริงได้ โดยที่ทุกสเต็ปเหล่านี้สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกอาชีพ ทุกองค์กรอย่างแน่นอน จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย ตรงต่อเวลา กำหนดเวลาการทำงานเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นองค์กรใดก็มีอยู่ และยังเป็นด่านประเมินขั้นพื้นฐานของช่วงทดลองงานอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเข้างาน การส่งงานหรือการเข้าประชุม ล้วนมีเวลาที่กำหนดเอาไว้แล้ว และมีการบันทึกเวลาอย่างตรงไปตรงมาด้วยการใช้ระบบบันทึกเวลาอย่าง Jobcan Attendance Management ก็จะช่วยให้ทั้งพนักงานและองค์กรสามารถมองเห็นและบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากกฎพื้นฐานอย่างเรื่องการรักษาเวลายังทำได้ไม่ดีพอเช่น มาสายอยู่บ่อยครั้ง ส่งงานไม่ตรงตามกำหนดเวลา หรือไม่มีการเผื่อเวลาสำหรับการแก้งานหรือสอบถามเพิ่มเติม อาจทำให้องค์กรประเมินว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีการวางแผน ไม่มีความกระตือรือร้นในการทำงาน คะแนนในการประเมินจึงออกมาต่ำ จนถึงขั้นที่ไม่ผ่านช่วงทดลองงานได้ เรียนรู้เป้าหมายของการทำงานและองค์กร ในการรับพนักงานใหม่เข้าทำงานนั้น องค์กรหรือบริษัทจะมีการพิจารณาจากหลายส่วนด้วยกัน แต่สิ่งที่สำคัญซึ่งทำให้เข้ามาถึงช่วงทดลองงานได้นั้นย่อมเป็นเพราะองค์กรมีความเชื่อมั่นว่าพนักงานใหม่จะสามารถเติมเต็มช่องโหว่ หรือศักยภาพที่ขาดหายไปขององค์กรได้ ดังนั้นหากสามารถรับรู้ได้ถึงความต้องการขององค์กรอย่างชัดเจน ก่อนจะช่วยให้สามารถแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างตรงเป้าหมาย ซึ่งความต้องการขององค์กรนั้นสามารถรู้ได้จากเป้าหมายขององค์กร ซึ่งจะทำให้มองภาพรวมของทิศทางการทำงานได้ง่ายขึ้น จากนั้นก็วิเคราะห์ถึงงานที่ได้รับมอบหมายว่าทำเพื่ออะไร มีความเกี่ยวข้องกับแผนกใดบ้าง และสิ่งที่บริษัทหรือองค์กรต้องการ โดยอาจจะสอบถามกับฝ่ายบุคคลหรือเพื่อนร่วมงานเลยก็ได้ ว่าเป้าหมายในหน้าที่ที่ได้รับนี้คืออะไร หากสามารถทำงานได้อย่างตรงตามความต้องการขององค์กรแล้ว ทำไมจะให้ไม่ผ่านช่วงทดลองงานได้อีกล่ะ เปิดใจรับวัฒนธรรมองค์กร สิ่งหนึ่งที่มีส่วนในการประเมินของช่วงทดลองงานอย่างมากคือ การปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมองค์กรนั่นเอง ไม่เพียงแต่องค์กรที่จะประเมินส่วนนี้เพราะพนักงานเองก็ควรพิจารณาถึงสังคมการทำงานอย่างวัฒนธรรมองค์กรด้วยเช่นกัน ว่าสามารถอยู่ร่วมกันได้หรือไม่  โดยส่วนของวัฒนธรรมองค์กรที่ควรให้ความสำคัญในช่วงการทดลองงานนั้นมักจะเป็นเรื่องของการร่วมกิจกรรมเช่น การประชุมใหญ่ การกินเลี้ยงขององค์กร หรือการเล่นเกมผ่อนคลายระหว่างพักเที่ยง […]

เมื่อยุคนี้ คนเราไม่ได้มีแค่อาชีพเดียวอีกต่อไป… พบกับอาชีพเสริมสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่นี่!

ในยุคที่ทุกอย่างล้วนต้องใช้เงินแลกมาอย่างนี้การพึ่งพางานประจำเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอต่อการตอบสนองความต้องการของชีวิตอีกต่อไปแล้ว หลายคนที่ทำงานประจำเป็นมนุษย์เงินเดือนกันจนเข้าที่แล้ว จะเริ่มมองหาช่องทางการเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น ไปพร้อมกับการทำงานประจำ ไม่ว่าจะเข้าออฟฟิศหรืออาชีพ WFH เพื่อเพิ่มรายได้เข้ามาอีกทางหนึ่ง และสำหรับบางคนยังเป็นการเสริมประสบการณ์ได้ด้วย วันนี้ JOBCAN จึงได้นำเอาอาชีพเสริมน่าทำสำหรับมนุษย์เงินเดือนได้นำไปเป็นตัวเลือกอยู่ 5 อาชีพด้วยกัน แต่ก่อนอื่นเรามาดูกันว่าทำไมถึงควรทำอาชีพเสริม เหตุผลที่คนในยุคนี้ควรมีอาชีพเสริม หากกล่าวถึงเหตุผลที่ทุกคนควรมีอาชีพเสริม ย่อมเป็นเพราะการมีรายได้เพียงทางเดียวในปัจจุบัน นับเป็นเรื่องที่เสี่ยงอย่างมาก เพราะเป็นการฝากความหวังและชีวิตทั้งหมดเอาไว้กับสิ่งๆ เดียว แม้ว่าจะมีการสำรองเงินเผื่อช่วงเวลาฉุกเฉินเอาไว้แล้ว แต่ความไม่แน่นอนนั้นอาจเกิดขึ้นได้เสมอ จึงควรเตรียมทางเลือกสำรองเอาไว้เผื่อเหตุไม่คาดฝัน ดังนั้นการมีรายได้ทางที่สองหรืออาชีพเสริมเผื่อไว้ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่คนในปัจจุบันควรเตรียมไว้ช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นตัวช่วยฉุกเฉินหรือเป็นเงินเก็บสำรองก็ตาม อาชีพเสริมที่น่าสนใจสำหรับมนุษย์เงินเดือน ด้วยความพร้อมของเทคโนโลยีทำให้หลากหลายอาชีพในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการดูแลมากนัก สามารถนำมาทำเป็นอาชีพเสริมได้ ลองมาดูตัวอย่างกันเลย อาชีพเสริมด้วยการขายของออนไลน์ อาชีพเสริมอย่างการขายของออนไลน์เป็นอาชีพหนึ่งที่เริ่มต้นได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้ต้นทุนสูงมากนัก และยังมีโอกาสสร้างกำไรสูงด้วยพฤติกรรมของผู้คนในปัจจุบันที่มักจะเข้าโลกออนไลน์กันอยู่เสมอ ไม่ว่าจากสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ก็ตาม นอกจากนี้การทำอาชีพเสริมด้วยการขายของออนไลน์ ยังมีตัวช่วยในการซื้อ-ขายที่สะดวกสบายอย่างแพล็ตฟอร์ม e-commerce ทำให้ไม่จำเป็นต้องคอยดูแลตลอดเวลา เหมาะอย่างมากสำหรับการสร้างรายได้เป็นอาชีพเสริม อาชีพเสริมด้วยการเป็น Youtuber  ประสบการณ์และความรู้เป็นสิ่งที่มีค่าอย่างประเมินไม่ได้ แต่สามารถสร้างรายได้ได้อย่างแน่นอน ด้วยการแบ่งปันประสบการณ์ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การออกกำลังกาย หรือกิจวัตรประจำวัน ผ่านบล็อกหรือช่องยูทูป โดยที่ประสบการณ์หรือเรื่องราวเหล่านั้นสามารถเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ทำให้มีการเข้าชมที่มากขึ้นจนเกิดเป็นรายได้ได้เช่นกัน นับเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจในการทำเป็นอาชีพเสริมเลยทีเดียว เพราะไม่จำเป็นดูแลมากนัก อาชีพเสริมด้วยการเป็นนักเขียน สำหรับคนที่ชอบจดบันทึกหรือเล่าเรื่องราวผ่านตัวหนังสือแล้ว […]

workflow คือ

ลดเวลา ลดขั้นตอน เพิ่มประสิทธิภาพงานเอกสารด้วยระบบ Workflow

การจัดการเอกสารภายในองค์กรเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก องค์กรจะเติบโตและประสบความสำเร็จอย่างราบรื่นได้ ต้องมีระบบการจัดการภายในองค์กรที่มีประสิทธิภาพ เป็นระเบียบชัดเจน มีการวางแผนการทำงานล่วงหน้า และสามารถตรวจสอบขั้นตอนการทำงานได้ เพื่อให้พนักงานทุกคนสามารถจัดลำดับความสำคัญของงานได้อย่างเป็นระเบียบมากขึ้นรวมทั้งองค์กรก็สามารถวางแผนการทำงานในอนาคตได้อย่างเป็นระบบ แล้วบริษัทจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการจัดการเอกสารต่าง ๆ ภายในองค์กรได้อย่างไร วิธีการง่าย ๆ คือการหาตัวช่วยออนไลน์โซลูชันหรือเทคโนโลยีที่ช่วยในเรื่องการจัดการเอกสาร ซึ่งในที่นี้คือระบบ workflow หรือตัวช่วยจัดการเอกสารภายในองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยให้ประสานงานกันได้ง่าย สะดวกและเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกระบวนการจัดการเอกสาร การอนุมัติหรือการตรวจสอบเอกสารภายในบริษัท ก็สามารถจัดการได้ง่าย ๆ ผ่านระบบ workflow ระบบการจัดเก็บเอกสารที่ดีต้องมีลักษณะอย่างไร รองรับการขยายตัวขององค์กรในอนาคตได้ การมีระบบหรือขั้นตอนการทำงานที่สามารถต่อยอดได้ง่ายขึ้นจะเป็นข้อดีของการบริหารองค์กรให้เติบโตในอนาคต มีความปลอดภัย ตัวระบบต้องมีความปลอดภัย เพราะเอกสารต่าง ๆ นั้นเป็นความลับของบริษัทที่ต้องจัดเก็บอย่างดีไม่ให้ข้อมูลถูกเผยแพร่ไปยังบุคคลภายนอก  จัดเก็บเอกสารแต่ละประเภทได้อย่างเหมาะสม การจัดเก็บเอกสารต้องเหมาะสมกับประเภทเอกสารแต่ละชนิด เรียงลำดับความสำคัญก่อนหลัง รวมไปถึงวิธีการทำงานด้วยเช่นกัน ลักษณะของเอกสารแต่ละประเภทใช้วิธีการจัดการแตกต่างกัน ดังนั้น วิธีการจัดการเอกสารแต่ละประเภทต้องมีระบบที่เหมาะสมสอดคล้องกันไปเพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลมาประมวลผลและรายงานข้อมูลได้ง่ายขึ้น ค้นหาเอกสารได้ง่าย ตัวระบบไม่ยุ่งยาก ระบบที่ดีต้องเป็นระบบที่เข้าใจง่าย ค้นหาเอกสารได้อย่างรวดเร็ว พนักงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องสามารถเข้าถึงตัวระบบได้ และเข้าใจว่าตัวระบบทำงานอย่างไร ข้อดีของการใช้ระบบ Workflow ข้อมูลปลอดภัย ระบบ workflow จะกำหนดรหัสการเข้าใช้งาน เฉพาะบุคลากรในองค์กรเท่านั้นที่เข้าสู่ตัวระบบได้ และยังกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงเอกสารแต่ละประเภทให้เฉพาะตำแหน่งงานได้อีกด้วย นอกจากนี้ระบบ workflow […]

ระบบบันทึกเวลาเข้าออกงาน

ไขข้อสงสัย ระบบบันทึกเวลาเข้าออกงานสำคัญอย่างไรต่อองค์กร

“Time is money.” “時は金なり” “เวลาเป็นเงินเป็นทอง” เป็นที่ทราบกันดีว่า ไม่ว่าจะชนชาติไหน ๆ ต่างก็ให้ความสำคัญกับเวลา จะสังเกตได้จากสำนวนในภาษาต่าง ๆ ที่เปรียบเวลาเป็นสิ่งของมีค่าหรือสิ่งสำคัญ ‘เวลา’ ยังนับว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อการประสบความสำเร็จ ดังนั้น การประสบความสำเร็จในชีวิตหรือการมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบจึงเริ่มต้นง่าย ๆ ได้จากการบริหารเวลาชีวิตให้สมดุล ในชีวิตการทำงาน ทักษะการบริหารเวลาถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะตัวพนักงานเองที่ต้องบริหารเวลาเพื่อทำงานให้ทันกำหนด หรือตัวองค์กรที่ต้องดูแลจัดการเวลางานของพนักงานด้วยเช่นกัน เนื่องจากชั่วโมงการทำงานและการเข้า-ออกงานของพนักงานเป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงต่อการคำนวณเงินเดือน การประเมินการทำงาน หรือการเลื่อนขั้นต่าง ๆ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นความมีวินัยและความใส่ใจต่อหน้าที่การงานของพนักงาน หลายบริษัทมีการปรับเปลี่ยนนโยบายให้ยืดหยุ่นมากขึ้นโดยยกเลิกการบันทึกเวลาเข้าออกงาน ทว่านโยบายดังกล่าวนั้นต้องขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบและการรู้หน้าที่ตัวเองของพนักงานด้วยเช่นกัน หากความยืดหยุ่นในการทำงานส่งผลให้พนักงานทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อองค์กร แต่หากความยืดหยุ่นนั้นทำให้พนักงานขาดความกระตือรือร้นและขาดความรับผิดชอบ บางทีกฎระเบียบการบันทึกเวลาเข้าออกงานอาจยังเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อความก้าวหน้าขององค์กรก็ว่าได้ Attendance management คืออะไร จำเป็นอย่างไรต่อองค์กร ระบบบันทึกเวลาเข้าออกงาน (Attendance Management System) เป็นระบบบริหารงานบุคคลที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยจัดการเวลาการทำงานของคนในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกเวลาเข้าออกงาน การจัดการกะงาน การส่งคำขอลาหรือขอโอที ระบบบันทึกเวลางานจำเป็นต่อองค์กรที่ต้องการก้าวทันเทคโนโลยี เพราะการจัดการเวลางานที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยแบ่งเบาภาระงานและช่วยให้การทำงานของ HR สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่ยังช่วยประหยัดเวลาการทำงาน ส่งเสริมระเบียบวินัยและความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน อีกทั้งยังลดข้อผิดพลาดต่าง ๆ ของข้อมูลที่อาจส่งผลต่อการคำนวณเงินเดือนได้อีกด้วย เคล็ดลับความสำเร็จขององค์กรสมัยใหม่หลาย ๆ […]

เมื่อฝ่าย HR เป็นคนถูกประเมิน.. อ่านตัวชี้วัด KPIs สำหรับ HR ได้ที่นี่

ไม่ว่าจะเป็นแผนกไหนหรือทำงานส่วนใดก็จะต้องมีการวัดประสิทธิภาพการทำงานหรือกำหนด KPI เพื่อการพัฒนาหรือประเมินผลงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับส่วนงานของ HR ที่หลายคนอาจจะเกิดคำถามว่างานที่ดูแลบริหารทรัพยากรภายในองค์กรรอบด้านแบบนี้ควรจะประเมินอย่างไรให้สามารถวัดผลได้จริงและครอบคลุมทุกส่วนงานที่ HR รับผิดชอบอยู่ วันนี้ JOBCAN จึงได้นำเอาหัวข้อหลักที่จะใช้ในการประเมินการทำงานของฝ่าย HR มาเป็นตัวอย่าง ซึ่งนับเป็นหัวข้อการประเมินวัด KPI HR ที่ครอบคลุมการทำงานของฝ่ายทรัพยากรบุคคลมากที่สุด และยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของแต่ละองค์กรอีกด้วย โดยจะมีด้วยกัน 10 หัวข้อ ดังนี้ งานด้านการวางแผนทรัพยากรบุคคล (HR Planning) เริ่มกันด้วยการประเมินงานด้านการวางแผน การจัดการทรัพยากรบุคคลว่ามีการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการดำเนินงานขององค์กรหรือไม่ โดยตัวอย่างของหัวข้อย่อยในการประเมินจะมีลักษณะดังนี้ เวลาที่ใช้ในการจัดทำแผนงาน อัตราการลาออกของบุคลากร การบริหารค่าใช้จ่ายของบุคลากร งานด้านการสรรหาคัดเลือกบุคลากร (Recruitment & Selection) งานหนึ่งของฝ่าย HR คืองานสรรหาสมาชิกใหม่ให้กับองค์กรจึงต้องมีการประเมินงานในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน โดยการประเมิน KPI HR จะเริ่มวัดผลตั้งแต่การประกาศหาไปจนถึงการผ่านช่วงทดลองงานของสมาชิกใหม่ไปแล้ว ซึ่งจะมีตัวอย่างการกำหนดหัวข้อย่อยดังนี้ จำนวนช่องทางที่เปิดรับสมัคร จำนวนผู้สมัครในแต่ละช่องทาง (วิธีการเขียน Job Description ที่ดี) ค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างบุคลากร ระยะเวลาในการบรรจุตำแหน่งว่าง งานการบริหารค่าตอบแทน (Compensation Management) เมื่อเป็นส่วนการบริหารทรัพยากรบุคคลแล้วก็จะต้องรับผิดชอบในการบริหารเงินเดือน […]

รู้หรือไม่? ปัญหาที่มักพบในการ Implement PDPA ในงาน HR

เมื่อมีการประกาศใช้ PDPA หรือพ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ทำให้การดูแลข้อมูลส่วนตัวมีความเข้มงวดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในองค์กรที่ต้องมีการจัดการที่รัดกุมมากพอ เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมาย และยังเป็นการปกป้องสิทธิส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลด้วย โดยเฉพาะกับส่วนงานของ HR ที่จะต้องคอยเก็บข้อมูลสำคัญของบริษัทมากมาย จนทำให้อาจเกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ PDPA อยู่บ้าง  ก่อนจะไปดูว่าข้อควรระวังในปัญหาที่มักพบเมื่อมี PDPA แล้วนั้น เรามาทำความรู้จักกับโทษที่จะได้รับเมื่อไม่ได้ปฏิบัติตาม PDPA โทษของการไม่ปฏิบัติตาม PDPA การกำหนดโทษของ PDPA นั้นจะมีด้วยกันถึง 3 ส่วน ซึ่งจะมีการกำหนดโทษที่แตกต่างกันออกไปตามความผิดที่ได้กระทำ โดยมีรายละเอียดดังนี้ โทษทางแพ่ง โทษทางแพ่งของ PDPA จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล หรือผู้ประมวลผลข้อมูลมีความจงใจหรือเกิดความประมาทเลินเล่อกับข้อมูลส่วนบุคคลขึ้น ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายกับเจ้าของข้อมูล จะต้องเสียค่าสินไหมทดแทนเป็น 2 เท่าของความเสียหายจริง โดยจะมีอายุความอยู่ที่ 3 ปีนับจากวันที่ผู้เสียหายทราบความเสียหายหรือ 10 ปีนับจากวันที่ละเมิด  โทษทางอาญา โทษทางอาญาของ PDPA จะเกิดขึ้นเมื่อมีการดำเนินการกับข้อมูลนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งไว้ จนทำให้เกิดความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ซึ่งกำหนดให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีปรับไม่เกิน 1,000,000 […]

บริษัทคุณมี PIP หรือ Performance Improvement Plan ที่ดีแล้วหรือยัง?

หลายครั้งที่หัวหน้าหรือฝ่ายบุคคลต้องเผชิญกับสภาวะการทำงานที่ไม่มั่นคง ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานตกต่ำลงเรื่อยๆ ผลลัพธ์ออกมาไม่ตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทั้งที่เมื่อก่อนเคยทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม เรียกว่าทำให้หัวหน้าและฝ่ายบุคคลต้องปวดหัวกันเลยทีเดียว เพราะด้วยผลงานเก่าที่ยอดเยี่ยมนั้นทำให้เสียดาย หากจะลดตำแหน่งหรือให้ลาออก ด้วยเหตุนี้จึงมีการคิดวิธีกระตุ้นและดึงศักยภาพของพนักงานให้กลับคืนมาอีกครั้ง หรือที่เรียกกันว่า PIP (Performance Improvement Plan) PIP หรือ Performance Improvement Plan คืออะไร PIP หรือ Performance Improvement Plan คือแผนการปรับปรุงผลการทำงานของพนักงานที่ตกต่ำให้กลับมาอยู่ในระดับที่บริษัทคาดหวัง โดยเป็นการสร้างแผนเพื่อกระตุ้นทั้งในเรื่องศักยภาพการทำงานหรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะในที่ทำงาน สามารถกล่าวได้ว่าเป็นเครื่องในการกอบกู้ให้พนักงานพัฒนาตนเองเพื่อสร้างโอกาสในการสร้างผลงานที่บริษัทต้องการอีกครั้ง ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการใช้ PIP PIP ควรเข้ามามีบทบาทเมื่อหัวหน้าหรือฝ่ายบุคคลพบว่ามีพนักงานที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดี เช่นไม่ตรงต่อเวลา ทำงานไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนด หรือมีส่วนร่วมในการทำงานน้อยลง และส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ผลงานที่สร้างขึ้นก็ตกต่ำตามไปด้วย ซึ่งเน้นเป็นการปรับพฤติกรรมหรือช่วยให้พนักงานสามารถปรับตัวและพัฒนาตนเองเพื่อสร้างผลงานที่ดีขึ้น นอกจากนี้ทางองค์กรสามารถใช้ PIP ในการทดลองงานได้ด้วยเช่นกัน ลักษณะที่ดีของ PIP PIP เป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถดึงศักยภาพของพนักงานออกมาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งบริษัทสามารถใช้เพื่อสร้างวัฒนธรรมขององค์กรให้พนักงานได้รับการกระตุ้นและมีแรงจูงใจในการทำงานได้ง่ายโดยไม่มีต้นทุนที่ต้องจ่ายทั้งยังมีประสิทธิภาพอีกด้วย แต่ PIP ที่ดีนั้นยังมีลักษณะสำคัญที่จะขาดไม่ได้อยู่ 3 ประการด้วยกัน ได้แก่ หัวหน้าและฝ่ายบุคคลที่ต้องการทดสอบควรเข้าใจถึงโปรแกรม การทำโปรแกรม PIP นั้นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรรับรู้และเข้าใจถึงเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในการทดสอบอย่างแน่ชัดเพื่อให้สามารถดำเนินการได้โดยไม่มีการขัดขวาง […]

ระบบลงเวลาเข้างาน (Attendance Management) ที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง?

การตอกบัตรในรูปแบบเก่านั้นไม่สามารถตอบโจทย์รูปแบบการทำงานที่ลดการสัมผัส เพิ่มความสะดวกสบายได้อีกต่อไปแล้ว หลายบริษัทจึงมีการมองหาระบบลงเวลาเข้างานเข้ามาทดแทน  ไม่แต่ระบบการลงเวลาแบบไหนถึงจะดีที่สุดและควรตอบโจทย์ในการลงเวลาอย่างไรได้บ้างจึงจะคุ้มค่าสำหรับการลงทุนอย่างที่สุด  วันนี้ JOBCAN ได้รวบรวมเอาประสิทธิภาพที่ระบบลงเวลาเข้างานควรมีมาไว้ให้แล้ว มีอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลย บันทึกลงเวลาเข้างานได้อย่างตรงไปตรงมา ทั้งบริษัทและพนักงานต่างลงบันทึกเวลาเข้างาน เพื่อให้สามารถตรวจสอบการเข้าทำงานตามข้อตกลงอย่างถูกต้อง ดังนั้น การลงเวลาเข้างานจึงควรมีการบันทึกอย่างตรงไปตรงมาในทุกการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้สามารถมั่นใจได้ว่าการลงเวลานั้นมีความถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขหรือการบันทึกหมายเหตุเพิ่มเติม หากทำได้จะช่วยลดความหวาดระแวงระหว่างบริษัทและพนักงานลงได้อย่างแน่นอน พนักงานต้องสามารถลงเวลาเข้างานได้อย่างสะดวกสบาย การลงเวลาเข้าเป็นเรื่องที่ต้องทำทุกเช้าเมื่อเข้าทำงาน กลางวันเมื่อพักทานข้าวและเย็นเมื่อถึงเวลาเลิกงาน ตลอด 5-6 วันต่อสัปดาห์ นับเป็นจำนวนครั้งที่ไม่น้อยทีเดียว หากการลงเวลาเข้างานทำได้ยากและวุ่นวาย บริษัทจะต้องเสียทรัพยากรทางด้านเวลาไปกับการลงเวลาของพนักงานแต่ละคน ซึ่งแม้จะเป็นระยะเวลาไม่นานมากนัก แต่หากรวมกันแล้วก็นับว่าสูญเสียอยู่ดี ดังนั้นควรมองหาระบบลงเวลาเข้างานที่มีความสะดวก สามารถบันทึกได้ง่ายหรือหลายตัวเลือกเพื่อความสะดวกสบายของพนักงานเอง ระบบสามารถบันทึกสถานที่การลงเวลาเข้างานได้ องค์กรมากมายกำหนดว่า พนักงานทุกคนจะต้องมีการลงบันทึกเวลาเข้างานเพื่อบันทึกเวลาทำงาน แต่กลับมีพนักงานกลุ่มหนึ่งที่ไม่สามารถบันทึกเวลาด้วยวิธีการตามปกติอย่างสแกนนิ้วมือหรืออื่นๆ ที่บริษัทได้ เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มักต้องทำงานนอกสถานที่อยู่เสมอ แต่ถึงอย่างนั้นบริษัทจะยกเว้นให้คนกลุ่มนี้ก็ดูจะไม่ยุติธรรมทั้งกับพนักงานคนอื่นๆ และบริษัทเองก็ตรวจสอบได้ยาก ดังนั้น หากต้องเลือกระบบลงเวลาเข้างานแล้วจึงควรเลือกระบบที่รองรับการลงบันทึกในต่างสถานที่ ด้วยอุปกรณ์ติดตัวอย่างสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตด้วยจึงจะเหมาะสมที่สุด HR และพนักงานสามารถตรวจสอบการลงเวลาเข้างานได้ ระบบการลงเวลาที่ให้เพียง HR ตรวจสอบได้ทางเดียวนั้น นับว่าสร้างปัญหาให้กับฝ่ายบุคคลฯ ไม่น้อยเลย เนื่องจากจำนวนของพนักงานที่ฝ่ายบุคคลต้องดูแลทั้งหมดนั้นไม่เท่ากัน หากมีการนับเวลาผิดพลาดเกิดขึ้นย่อมไม่ยุติธรรมต่อพนักงานคนนั้น เพราะเวลาการทำงานนั้นส่งผลต่อเงินเดือนที่พนักงานจะได้รับ ทำให้ในปัจจุบันนี้มักจะให้พนักงานสามารถตรวจสอบการลงเวลาเข้างานได้ด้วยตัวเอง สามารถตรวจสอบความผิดพลาดและทำการแก้ไขได้โดยมีการบันทึกเอาไว้ทั้งหมด แบบนี้ความผิดพลาดในการบันทึกเวลาย่อมน้อยลง ที่สำคัญพนักงานสามารถบริหารเวลาการทำงานของตัวเองได้ดีขึ้นด้วย ระบบสามารถคำนวณเวลาการทำงานได้ง่าย […]

เข้าออฟฟิศ

ไม่อยากเข้าออฟฟิศ! ทำความรู้จักกับ Return-to-Office Resistance

หลายคนต่อต้านการเข้าออฟฟิศทุกวัน เพราะมองว่าไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป หลังจากช่วงเวลาแห่งการ Work From Home ล่วงเลยมาเป็นเวลากว่า 2 ปี ในที่สุดก็ถึงเวลาที่สถานการณ์ของโรคโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และในขณะเดียวกัน นั่นก็หมายถึงการที่ชาวออฟฟิศต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการทำงานอีกครั้ง เพราะบริษัทหลายแห่งเริ่มประกาศเรียกตัวพนักงานกลับเข้าออฟฟิศดังปกติ วันนี้ Jobcan จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ Return-to-Office Resistance หรือ การต่อต้านนโยบายการเข้าออฟฟิศหลังสถานการณ์โควิด สาเหตุจะเกิดจากอะไรและสถานการณ์เป็นแบบไหน ไปดูกันเลย! Return-to-Office Resistance เกิดจากอะไร? จากการที่สถานการณ์โควิดมีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้น ประกอบกับประกาศของกระทรวงสาธารณสุขเรื่องการปรับเปลี่ยนแนวทางการจัดการกับผู้ติดเชื้อและกลุ่มเสี่ยงที่ลดความเข้มงวดลง หลายองค์กรเริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน โดยให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศทุกวันดังเช่นสถานการณ์ปกติ ส่งผลให้เหล่ามนุษย์เงินเดือนต้องปรับตัวกับการทำงานอีกครั้ง เนื่องจากคุ้นชินกับการทำงานแบบ New Normal ไม่ว่าจะเป็น Work From Home, Hybrid Working หรือ Remote Working ไปเสียแล้ว การได้กลับไปทำงานที่ออฟฟิศแม้จะเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับใครหลาย ๆ คนที่เบื่อการอยู่บ้านเต็มทน แต่ยังมีคนจำนวนมากที่รู้สึกไม่พึงพอใจ เพราะรู้สึกว่าการเข้าออฟฟิศทุกวันนั้นไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นอีกต่อไป สถานการณ์การต่อต้านในต่างประเทศ BBC ได้สำรวจความคิดเห็นที่มีต่อการเข้าออฟฟิศและการ Work From Home […]

รับนักศึกษาฝึกงานควรจ่ายค่าตอบแทนแบบไหน?

การรับเด็กฝึกงานเข้ามาทำงานในบริษัทเรียกได้ว่า หากมีข้อตกลงที่ดีย่อมทำให้วิน-วินกันได้ทั้สองฝ่าย แต่ด้วยสถานะพิเศษของการเป็นนักศึกษาหรือผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งนับว่ายังดูแลตัวเองไม่ได้ทำให้การทำข้อตกลงร่วมกันค่อนข้างลำบาก ที่สำคัญกฎหมายที่ออกมาในปัจจุบันไม่ได้คุ้มครองเด็กฝึกงานมากนัก แต่ก็ยังมีเรื่องที่นายจ้างควรทำความเข้าใจอยู่บ้าง วันนี้ JOBCAN จึงเอาข้อกำหนดเกี่ยวกับเด็กฝึกงานหรือนักศึกษาฝึกงานมานำเสนอให้ทุกคนได้เก็บข้อมูลไปด้วยกัน มาดูกันเลย ทำความรู้จักกับเด็กฝึกงาน เด็กฝึกงานหรือนักศึกษาฝึกงานนั้น ตามกฎหมายกำหนดว่าเป็นผู้มีอายุ 15 ปีขึ้นไป เข้ามาทำงานกับบริษัทหรือองค์กรโดยมีทั้งแบบที่ทำข้อตกลงกันเป็นสัญญามีลายลักษณ์อักษรชัดเจน และแบบที่ไม่มีการทำสัญญาชัดเจน ต่างจากการทำงานพาร์ทไทม์ที่จะต้องมีการทำสัญญาว่าจ้างให้ชัดเจน นอกจากนี้ นักศึกษาฝึกงานหรือเด็กฝึกงานยังมีระยะเวลากำหนดอย่างชัดเจนว่าสามารถฝึกงานได้ไม่ต่ำกว่า 2 เดือน แต่ห้ามเกิน 1 ปีเท่านั้น และยังห้ามทำงานล่วงเวลาอีกด้วย รูปแบบค่าตอบแทนของเด็กฝึกงาน สำหรับค่าตอบแทนของเด็กฝึกงานนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ ตกลงมอบค่าตอบแทนเป็นเงินค่าจ้าง รูปแบบนี้เด็กฝึกงานจะได้ทำสัญญาว่าจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน และได้รับค่าตอบแทนหรือที่เรียกว่า “เบี้ยเลี้ยง” เป็นเงินไม่ต่ำกว่า 50% ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามในแต่ละจังหวัด ส่วนใหญ่เป็นการฝึกงานที่สถาบันศึกษาไม่ได้บังคับมา เด็กฝึกงานนี้จึงถูกเรียกว่า “ลูกจ้าง​” ตามกฎหมาย เพราะได้รับค่าตอบแทน ตกลงมอบค่าตอบแทนเป็นสวัสดิการอื่นๆ หรือไม่มีอะไรให้เลย ในกรณีนี้มักเป็นนักศึกษาฝึกงาน หรือเด็กฝึกงานที่สถาบันศึกษาส่งมาขอฝึกงานด้วย ซึ่งทางบริษัทหรือองค์กรอาจมีการเลี้ยงข้างกลางวันหรือสวัสดิการพนักงานปกติมอบให้บ้าง หรือจะไม่มอบอะไรเลยก็ได้เช่นกัน ข้อควรระวังเมื่อบริษัทรับเด็กฝึกงานเข้าทำงาน หลายองค์กรชื่นชอบการรับเด็กฝึกงานเข้าทำงาน เพราะนอกจากจะเป็นแรงงานที่จ่ายค่าตอบแทนไม่สูงมากนักแล้ว ยังได้ความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างออกไปเข้ามาด้วย รวมถึงประโยชน์อีกหลายๆ อย่างโดยเฉพาะเด็กที่กำลังเรียนใกล้จะจบหรือจบแล้ว […]