Workflow ช่วยให้การทำงานมีระเบียบมากยิ่งขึ้น
ในการทำงานร่วมกับคนมากมายนั่นสิ่งที่มักจะเป็นปัญหาอย่างมากเลยก็คือการประสานงาน ยิ่งหากงานชิ้นหนึ่งจะต้องใช้ความเห็นจากคนหลายฝ่ายเข้ามาร่วมตัดสินใจด้วยแล้ว แม้จะไม่ใช่เรื่องยากก็ยังอาจเกิดปัญหาหรือความล่าช้าได้ ดังนั้นในเวลาหลายยุคสมัยที่ผ่านมามักมีการคิดค้นระบบขั้นตอนการทำงานที่จะช่วยประหยัดเวลาและทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ให้ทุกอย่างสามารถลื่นไหลไปได้ด้วยตัวของมันเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งเราเรียกกันว่า workflow Workflow คืออะไร Workflow คือการวางระบบขั้นตอนการทำงานที่เชื่อมโยงจากหลายฝ่ายให้สามารถดำเนินไปได้อย่างไหลลื่นไม่ติดขัดหรือตกหล่นได้โดยง่าย โดย workflow นี้คุณจะเห็นได้ถึงภาพรวมของขั้นตอนและวิธีการต่างๆ ในการทำงาน ซึ่งจะทำให้งานออกมาไม่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำไมฝ่ายบุคคลจึงควรมี Workflow งานของฝ่ายบุคคลคือการดูแลพนักงานและบันทึกการเข้า-ออกของพนักงานซึ่งเป็นงานละเอียดไม่ซับซ้อนมากนักแต่กลับต้องการความผิดพลาดน้อยที่สุด และบางครั้งยังเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เร่งด่วนและต้องเชื่อมต่อกับคนหลายคน หากทำอย่างไม่มี workflow อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยเป็นสัปดาห์เพื่อให้ทุกขั้นตอนเสร็จสมบูรณ์ นอกจากนี้ อ่าน 10 สิ่งที่ HR ควรรู้สู่การเป็นมืออาชีพได้ที่นี่ ตัวอย่างเช่นการอนุมัติวันลาพักร้อน โดยปกติเมื่อพนักงานยื่นเรื่องแล้ว เรื่องจะส่งไปที่หัวหน้าแผนกของพนักงาน จากนั้นไปยังผู้จัดการ และอาจจะต้องส่งไปถึงผู้อำนวยการให้ทำการอนุมัติ เมื่ออนุมัติเรียบร้อยเอกสารส่งถึงฝ่ายบุคคล ฝ่ายบุคคลจึงจะนำมาแจ้งพนักงานอีกที ซึ่งหากมี workflow จะสามารถทำให้ขั้นตอนเหล่านี้สมบูรณ์ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น จุดเด่นที่ Workflow สามารถช่วยทุกคนในองค์กรได้ การมี workflow คือการลดปัญหาระหว่างขั้นตอนออกไปให้ระบบงานสามารถตรวจสอบได้ง่ายขึ้นว่าตอนนี้อยู่ที่ขั้นตอนใดหรือมีปัญหาใดเกิดขึ้น ซึ่งการมี workflow จะทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างทำงานง่ายขึ้น เรามาดูจุดเด่นหลัก 3 ข้อให้ชัดเจนกันดีกว่า ส่งคำขอและอนุมัติจากที่ใดก็ได้ผ่านทางคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน หากพนักงานต้องออกนอกสถานที่หรือมีเหตุให้ไม่สามารถแจ้งกับบริษัทได้โดยตรงสามารถทำการแจ้งผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่มีอยู่ได้ทันทีโดยผ่านระบบ hr […]
5 วิธีสร้างมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
วันนี้ JOBCAN ขอนำเสนอ เรื่องความสัมพันธ์ในที่ทำงานนั้นมีความสำคัญกับการทำงานเป็นอย่างมากเพราะความสัมพันธ์ที่ดีสามารถส่งผลต่อแรงจูงใจและแรงบันดาลใจในการทำงาน ดังนั้นการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีตั้งแต่วันแรกของการเริ่มงานหรือจะเป็นการเริ่มสร้างมนุษย์สัมพันธ์กันตั้งแต่วันนี้ก็ตาม ยังไม่นับว่าสายเกินไป มาดูกันดีกว่าว่าจะสามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานอย่างไรได้บ้าง ยอมรับในความแตกต่าง คนทุกคนล้วนมีความคิดและประสบการณ์ที่สั่งสมผ่านมาไม่เหมือนกัน จึงทำให้มีมุมมองต่อเรื่องราวต่างๆ ต่างกันออกไป ยิ่งกับที่ทำงานที่จะได้พบเจอผู้คนมากมาย ต่างวัยต่างที่มาทำให้เราจะได้เจอกับความแตกต่างมากขึ้นไปอีก ซึ่งการจะสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีได้นั้นเราต้องยอมรับในความแตกต่างเหล่านั้นให้ได้เสียก่อน ไม่ไปตัดสินคนอื่นโดยใช้ความคิดส่วนตัวของตัวเองเป็นหลักเท่านั้น มองโลกในแง่ดี การสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีนั้นเราควรเริ่มด้วยการมองโลกในแง่ดี มองและใส่ใจในด้านที่ดีของเพื่อนร่วมงาน เพื่อให้เราทำงานได้อย่างมีความสุข คนที่มีความสุขและมองโลกในแง่ดีได้นั้นมักจะเป็นคนที่ทุกคนอยากจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีด้วยอยู่เสมอ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่น ในการทำงานย่อมมีพาร์ทที่ต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นและเพื่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีนั้นเราควรให้ความช่วยเหลือแก่คนอื่นด้วย และหากถึงเวลาที่เรามีปัญหาก็ลองขอความช่วยเหลือหรือปรึกษากับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ดู วิธีนี้อาจทำให้เราได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงานก็เป็นได้ สื่อสารกับผู้อื่นให้เป็น การสื่อสารเป็นส่วนที่สำคัญอย่างมากในสังคมการทำงาน ดังนั้นในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ในทุกที่รวมถึงที่ทำงานนั้นเราต้องรู้จักการสื่อสารที่ดี ซึ่งอาจประยุกต์ใช้โดยหลักการ 7c ตรงประเด็น ไม่ทำร้ายจิตใจผู้อื่นและไม่นำอารมณ์ส่วนตัวมาใช้ในการสื่อสาร หากเราสามารถสื่อสารได้เป็นอย่างดีนอกจากจะส่งผลต่อการทำงานแล้วเรายังจะได้เพื่อนที่ดีกลับมาด้วย มีความจริงใจให้แก่ตนเองและผู้อื่น ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่นเราต้องมีความจริงใจ เพราะความจริงใจเป็นสิ่งที่สามารถสัมผัสได้และไม่มีใครที่อยากได้ความไม่จริงใจ เมื่อเรามีความจริงใจทั้งในเรื่องการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานหรือเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปย่อมเป็นการสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานได้ สรุป การมีมนุษยสัมพันธ์ในที่ทำงานสามารถเป็นตัวช่วยสู่ความสำเร็จในการทำงานได้เลย ทั้งยังสามารถสร้างความพึงพอใจในการทำงานให้เราทำงานอย่างมีความสุขและยังอาจได้มิตรภาพที่มากกว่าการเป็นเพื่อนร่วมงานด้วยก็ได้ Jobcan Attendance ระบบเข้าออกงานพนักงาน ตอกบัตรออนไลน์สนใจระบบ Jobcan ติดต่อ 02-107-1867LINE@ : @jobcan_thFacebook : Jobcan Thailandลงทะเบียนสอบถามข้อมูล : https://bit.ly/3P0dVmg
สวัสดิการพนักงานในฝันที่ hr ควรรู้
ในยุคสมัยที่คนมีความสามารถเป็นผู้มีอำนาจอย่างนี้บริษัทจะต้องทำการสำรวจถึงสวัสดิการพนักงานที่จะสามารถดึงดูดให้คนเก่งเข้ามาให้ความสนใจและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทให้ได้นานที่สุดเท่านี้จะทำได้ ซึ่งหากสวัสดิการพนักงานน่าสนใจแล้วพนักงานย่อมทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและอยู่ด้วยกันไปอีกนาน วันนี้ JOBCAN ได้รวบรวมเอาสวัสดิการในฝันที่เหล่าพนักงานชื่นชอบมาให้แล้ว ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง สวัสดิการพนักงานที่ 1 โบนัสและการปรับเงินเดือน แม้ว่าการให้เงินเดือนจะเป็นการให้สิ่งตอบแทนที่เหมาะสมและเป็นที่ต้องการอย่างมากแล้ว แต่หากมีการปรับขึ้นเงินเดือนตามผลงานและมีโบนัสเข้ามาสร้างแรงจูงใจให้พนักงานสามารถมีเงินก้อนเอาไว้ได้ย่อมสามารถทำให้พนักงานอยากสร้างผลงานที่ดีให้กับเราไปได้ยาวๆ สวัสดิการพนักงานที่ 2 เวลาการทำงานที่ยืดหยุ่น ในปัจจุบันการทำงานไม่สามารถกำหนดเวลาโดยใช้รูปแบบเดิมมาสร้างแรงจูงใจให้กับคนทำงานได้อีกต่อไป เพราะแต่ละคนมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ต่างกัน บางคนชอบการทำงานในเวลากลางคืนเพราะสงบและรวบรวมสมาธิได้มากกว่า บางคนก็จำเป็นต้องมีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นบ้างเพื่อเติมเต็มทุกด้านให้ชีวิต หรือ Work-Life-Balance ดังนั้นพนักงานหลายคนมักมองหาบริษัทที่มีกำหนดเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่นได้มาตอบโจทย์ชีวิต สวัสดิการพนักงานที่ 3 วันลาพักร้อนและลาพิเศษอื่นๆ ชีวิตจะมีแค่ด้านการทำงานอย่างเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้ สวัสดิการพนักงานอย่างหนึ่งที่พนักงานชื่นชอบและต้องการเป็นอย่างมากคือวันลาพักร้อนและวันลาอื่นๆ ซึ่งหากมีความสมเหตุสมผลและเข้ากับการใช้ชีวิตที่เขาต้องการแล้วทำไมจะไม่เลือกทำงานที่นี่ล่ะ สวัสดิการพนักงานที่ 4 วันลาหยุดตามกฎหมาย นับเป็นสวัสดิการพนักงานขั้นพื้นฐานที่มีความจำเป็นต่อชีวิตเลยทีเดียว เช่นวันลาป่วย เพราะตลอดเวลาการทำงานนั้นน้อยมากที่จะไม่มีการป่วยเกิดขึ้น หรือสิทธิการลาคลอด ซึ่งบางบริษัทอาจมีการคิดวันหยุดพิเศษเกี่ยวกับการลาคลอดเช่นการลาคลอดสำหรับผู้ชาย ก็สามารถใช้เป็นแรงจูงใจสำหรับบุคคลที่มีความสามารถและกำลังสร้างครอบครัวได้ สวัสดิการพนักงานที่ 5 งานเลี้ยงสรรค์และท่องเที่ยวประจำปี นี่นับเป็นสวัสดิการพนักงานที่สร้างขึ้นเพื่อให้บริษัทสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงเพราะงานสังสรรค์และท่องเที่ยวประจำปีนี้สามารถกระชับความสัมพันธ์ของเหล่าพนักงานให้แน่นแฟ้นทำให้ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นได้และยังเป็นเหตุผลหนึ่งที่ช่วยให้พนักงานไม่ลาออกได้ด้วย สวัสดิการพนักงานที่ 6 ประกันสุขภาพและประกันสังคม ประกันสุขภาพและประกันสังคมนี้เป็นสวัสดิการพนักงานที่ช่วยสนับสนุนความมั่นคงในชีวิตของพนักงานได้เป็นอย่างดีเพราะเมื่อมีเหตุเจ็บป่วยหรือถึงเวลาตรวจสุขภาพ ทำฟันก็สามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้ ไม่ต้องรับผิดชอบเต็มจำนวน ที่สำคัญคือยังมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ หลังจากการลาออกอีกด้วย สวัสดิการพนักงานที่ 7 ค่าล่วงเวลาหรือ OT การทำงานล่วงเวลาอาจจะไม่ใช่สิ่งที่พนักงานหลายคนคาดหวังนักแต่หากต้องมีการทำงานล่วงเวลา ทางบริษัทก็ควรมีค่าตอบแทน OT […]
ออกไปพบลูกค้า หรือ จะ WFH ก็ clock in ผ่านมือถือได้
ในการทำธุรกิจย่อมต้องมีการออกไปพบปะพูดคุยกับลูกค้ากันบ้าง ถือเป็นเรื่องที่มีมานานแล้ว โดยคนที่รับหน้าที่ออกไปนั้นมักจะเผชิญปัญหาการตรวจสอบเวลาทำงานอยู่เสมอเพราะไม่สามารถเก็บหลักฐานการทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือ ยิ่งในปัจจุบันยังมีความจำเป็นต้อง Work from home อยู่บ่อยครั้ง หลายบริษัทจึงอยากจะจัดการเรื่องนี้กลายเป็นการสร้างความไม่พอใจให้กับหลายฝ่ายไปแทน ดังนั้นจะดีกว่าไหม หากพนักงานสามารถบันทึกการเข้า-ออกงาน หรือ clock in ได้แม้อยู่นอกบริษัท การ clock in นอกสถานที่ที่พนักงานต้องการ การ clock in นอกสถานที่นั้นต้องสามารถบันทึกและเก็บรายละเอียดได้ชัดเจนมากกว่าตอนตอกบัตรที่บริษัทและต้องมีความน่าเชื่อถือมากพอ ดังนั้น สิ่งที่พนักงานต้องการในการ clock in มีอยู่ 3 ประการหลักๆ ดังนี้ สามารถ clock-in ผ่านเครื่องมือสื่อสารที่พกพาได้สะดวก การเดินทางออกไปข้างนอกจะเป็นต้องมีความคล่องตัวสูง การพกพาเครื่องมือเฉพาะอาจจะไม่สะดวกและที่สำคัญวิธี clock-in จะต้องไม่ยุ่งยากจนกินเวลามากเกินไปด้วย ทั้งยังควรเป็นอุปกรณ์ที่คนทำงานทุกคนมีอยู่แล้วเพื่อลดต้นทุนในส่วนนี้สำหรับการรับมือการ Work from home ของพนักงานทุกคน ดังนั้นสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตหรือคอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องมือที่สะดวกสบายมากทีเดียว สามารถบันทึก Location ขณะ clock-in ได้ นอกจากการบันทึกว่ามีการ clock-in กี่โมงแล้วยังต้องมีการบันทึกโลเคชั่นหรือสถานที่การทำงานเพื่อให้มั่นใจว่าสถานที่ที่อยู่ถูกต้องตามการนัดหมายตามหน้าที่ เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบในภายหลัง สามารถลงหมายเหตุหรือเหตุผลอื่นเพิ่มเติมได้ […]
เริ่มต้นปีใหม่แห่งการทํางานอย่างไรให้มีความสุข ตลอดปี
ปีใหม่อีกครั้งแล้ว ใครที่กำลังเริ่มต้นทำงานหรือแม้จะทำงานมาได้สักพักก็อาจจะมีคำถามได้ว่า ‘ทำงานอย่างไรให้มีความสุข’ เกิดขึ้นได้เพราะชีวิตการทำงานคือการเริ่มต้นใหม่ของอีกบทหนึ่งของชีวิต บางครั้งหลายคนจึงไม่อาจหาคำตอบได้ทันที วันนี้ JOBCAN จึงอยากจะนำเสนอวิธีการทำงานอย่างไรให้มีความสุข รับรองว่าไม่ยากแน่นอน ไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง จบปีเก่าด้วยการทบทวนสิ่งที่ผ่านมา สิ่งที่เราได้ผ่านมานับเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่หากปล่อยให้ผ่านไปเฉยๆ ก็น่าเสียดายมากทีเดียว ดังนั้นเราลองหยิบมาทบทวนดูว่าปีที่ผ่านมานี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เราได้เรียนรู้เรื่องอะไรไปแล้วบ้างและที่สำคัญคือเราทำได้ดีมากแค่ไหนกับเราพลาดตรงไหนบ้าง โดยลองนึกถึงเหตุการณ์ใหญ่ที่สำคัญสำหรับเราเอามาตั้งคำถามเสมือนเราในตอนนี้ไม่ใช่เราในตอนนั้น เพื่อให้เห็นถึงการกระทำและผลของเหตุการณ์ เมื่อเรียนรู้เรียบร้อยแล้วก็ปล่อยวาง สิ่งที่ผ่านไปแล้วเราทำอะไรไม่ได้นอกจากเรียนรู้ ชื่นชมตัวเองหรือป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก จากนั้นก็พาตัวเองไปเริ่มต้นปีใหม่กันอย่างมีความสุข กำหนดเป้าหมายและวางแผนการทำงาน หากเราทำงานโดยไม่มีเป้าหมายก็เหมือนการทำงานอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ไม่รู้ว่าจุดสุดท้ายของความสำเร็จอยู่ตรงไหนกันแน่ ดังนั้นเราจะเริ่มการทำงานอย่างไรให้มีความสุขกัน ก็ต้องวางเป้าหมายบอกความสำเร็จที่เรากำหนดเอาไว้ออกมาให้ชัดเจน ในการวางแผนด้านการทำงานนี้เราควรมีภาพสุดท้ายของความสำเร็จของเราก่อนเพื่อกำหนดว่าปีนี้เราจะเดินไปถึงขั้นใด แบบนี้เวลาทำงานเราจะรู้สึกได้ถึงความสุขและความสำเร็จมากขึ้น ท้าทายตัวเองและให้โอกาสตัวเองได้ลองสิ่งใหม่ ช่วงเวลา 12 เดือนนี้เราควรวางแผนให้ตัวเองได้มีการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ หรืออาจจะเป็นงานอดิเรกใหม่ที่ช่วยให้เราได้ท้าทายตัวเองและสนุกกับการใช้ชีวิตมากขึ้น โดยวิธีนี้สามารถปลุกความกล้าที่จะเรียนรู้ของเราได้ทั้งยังสามารถเพิ่มซอฟต์สกิลที่ช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้นด้วย การเรียนรู้สิ่งใหม่ที่ JOBCAN อยากแนะนำคือการเรียนภาษาใหม่ การเพิ่มทักษะทางดิจิทัล หรือการเรียนกีฬารูปแบบใหม่ที่เราไม่เคยเรียนมาก่อน แล้วคุณจะได้รู้ว่าชีวิตมีอะไรสนุกๆ อีกเยอะที่เรายังไม่ได้ลอง จัดโต๊ะทำงานใหม่ให้เริ่มต้นปีด้วยการทำงานอย่างมีความสุข การจัดโต๊ะทำงานหรือพื้นที่ทำงานของเราให้เป็นระเบียบเป็นการจัดการที่สามารถจัดระเบียบได้ทั้งภายนอกและภายใน สำหรับภายนอกคือพื้นที่บริเวณที่ดูสะอาดตา น่าเข้าไปนั่งทำงานกับภายในซึ่งหมายความถึงจิตใจของเราเองก็จะได้รับการจัดระเบียบความคิดไปด้วย ทำให้การทำงานมีระบบและชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นการเริ่มต้นปีใหม่ด้วยการจัดโต๊ะทำงานจึงนับได้ว่าเป็นการจัดเพื่อให้เราสามารถทำงานได้อย่างเป็นระเบียบและเพลิดเพลินได้มากขึ้นไปด้วยนั่นเอง นอกเหนือจากการเปลี่ยนสภาพโต๊ะทำงานด้วยตัวเองแล้ว สภาพแวดล้อมในที่ทำงานก็มีส่วนด้วยเช่นกัน เมื่อเราอยากให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดียิ่งขึ้นกับเพื่อนร่วมงาน เราก็ควรสร้างสัมพันธไมตรีก่อนและรวมถึงมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือ Empathy Culture กำหนดรางวัลความสำเร็จประจำปี […]
คนไทยควรรู้!! เอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับลดหย่อนภาษี ปี 2564
การยื่นภาษีเงินได้เป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นประจำทุกปีสำหรับผู้มีรายได้ หากในรายได้อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติมก็จะต้องจ่ายเพิ่ม แต่บางคนก็สามารถได้เงินภาษีกลับคืนมาด้วยเช่นกัน เพราะมีรายการบางอย่างที่มีการกำหนดให้สามารถใช้ลดหย่อนการจ่ายภาษีได้ ดังนั้นก่อนการจ่ายภาษี เราสามารถวางให้คำนวณภาษีให้สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้มากที่สุดเพื่อประหยัดเงินในกระเป๋า ซึ่งสิทธิ์การลดหย่อนนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงในทุกปีจำเป็นต้องติดตามให้ดีเพื่อจะได้วางแผนได้อย่างเหมาะสม เรามาดูกันดีกว่าว่าในปี 2564 เราสามารถคำนวณภาษีเพื่อลดหย่อนส่วนใดได้บ้าง ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว เป็นค่าลดหย่อนที่หักออกเพราะคิดเป็นส่วนของการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ค่าลดหย่อนส่วนตัว สามารถคำนวนภาษีลดหย่อนได้ 60,000 บาททันที ค่าลดหย่อนคู่สมรส สามารถคำนวนภาษีลดหย่อนได้ 60,000 บาทในกรณีที่คู่สมรสไม่มีรายได้ ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตร สามารถคำนวณภาษีได้ไม่เกิน 60,000 บาทต่อปี โดยสามีสามารถใช้ลดหย่อนได้ในกรณีที่ภรรยาไม่มีรายได้ เอกสารหลักฐานที่ต้องใช้ลดหย่อนการฝากครรภ์และคลอดบุตรคือ ใบเสร็จรับเงินและใบรับรองแพทย์จากสถานพยาบาล ค่าลดหย่อนภาษีบุตร สามารถลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท การคำนวนภาษีเพื่อลดหย่อนในส่วนของการเลี้ยงดูบุตรมีเงื่อนไขดังนี้ ต้องเป็นบุตรหรือบุตรบุญธรรมตามกฎหมายอายุไม่เกิน 20 ปีหรือไม่เกิน 25 ปีและกำลังศึกษาอยู่ กรณีบุตรอายุเกิน 25 ปีขึ้นไป แต่มีสถานะเป็นบุคคลไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถจะลดหย่อนในกรณีของบุตรคนที่ 2 ได้ บุตรคนที่ 2 ที่เกิดก่อนปีพ.ศ. 2561 จะลดหย่อนได้ 30,000 บาท หากเกิดหลังจากปีพ.ศ. 2561 จะสามารถลดหย่อนได้ 60,000 บาท […]
เพราะการบริหารคนไม่ใช่เรื่องง่าย เคล็ดลับการเป็น Leadership
Leadership หรือภาวะความเป็นผู้นำ เป็นสิ่งที่หลายบริษัทตามหาและต้องการกันเป็นอย่างมากเพราะว่าหากมีคนที่มี Leadership เข้ามาช่วยบริหารดูแลทีมแล้วผลงานที่ได้เรียกว่าจะมีความสำเร็จมากกว่าความล้มเหลวเสียอีก หรือหากมีการล้มเหลวเกิดขึ้นทีมก็สามารถฟื้นตัวได้ไว ปัญหาเกี่ยวกับความขัดแย้งก็จะมีน้อยตามไปด้วย แล้วคนที่มีภาวะความเป็นผู้นำหรือ Leadership นี้จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง เราไปดูกัน Leadership สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนในทีมได้ คุณสมบัติแรกที่ LeaderShip ควรจะมีคือความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดแรงกระตุ้นในการทำงาน อยากเรียนรู้และความต้องการในการพัฒนาตนเองเพราะบริษัทและทีมที่ดีจะต้องมีการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด คนที่เป็นผู้นำจึงต้องสามารถกระตุ้นสมาชิกทีมทุกคนได้ โดยผู้นำอาจจะทำตัวเป็นตัวอย่างของคนที่ไม่หยุดนิ่งซึ่งเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นให้สมาชิกต้องการัฒนาตาไปด้วยได้เช่นกัน Leadership สามารถสื่อสารกับทุกคนในทีมได้อย่างเหมาะสม ความเป็นทีมต้องมีความสามัคคีซึ่งอาจเกิดจากความผูกพันและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ขณะเดียวกันในช่วงเวลาทำงานนั้นก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงช่วงเวลาของความขัดแย้งหรือช่วงเวลาที่ใครบางคนในทีมเกิดปัญหาไม่ได้ จึงต้องมีผู้นำที่มี LeaderShip เข้ามาคอยสื่อสารและสังเกตปัญหาเพื่อแก้ไขได้อย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ทำให้สมาชิกรู้สึกเป็นส่วนเกินซึ่งทักษะการสื่อสารนับเป็นทักษะสำคัญอย่างมากที่ผู้นำต้องมี Leadership สามารถบริหารจัดการอารมณ์ได้ดี หลายครั้งที่อารมณ์เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งภายในองค์กรและสร้างหายนะได้มากกว่าที่คุณคิด ดังนั้นในความเป็น LeaderShip ผู้นำที่ดีจึงต้องสามารถบริหารจัดการอารมณ์ของตนเองได้เป็นอย่างดี สามารถปรับอารมณ์ได้แม้ในเวลากระชั้นชิดเพื่อรักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในทีมเอาไว้นั่นเอง Leadership กล้าตัดสินใจและรับผิดชอบผลที่ตามมา คนที่เป็นผู้นำนั้นจะได้เห็นภาพรวมและข้อมูลต่างๆ ภายในทีมทั้งหมดที่แม้ว่าสมาชิกทีมจะประชุมระดมสมองทั้งหมดเพื่อคิดแนวทาง วิธีการหรือสร้างผลงานต่างๆ แต่สุดท้ายการตัดสินใจทั้งหมดจะอยู่ที่ผู้นำ ดังนั้นหนึ่งในความเป็น LeaderShip จึงเป็นความกล้าตัดสินใจและต้องกล้ารับผิดชอบผลที่ตามมาทั้งหมดด้วย Leadership สามารถดึงศักยภาพของทีมออกมาได้สูงสุด เพราะคนทุกคนต่างก็มีความสามารถแตกต่างกันออกไปจึงมีรูปแบบงานที่เหมาะสมแตกต่างกันออกไปด้วย ซึ่งบางครั้งกระทั่งตัวบุคคลเองอาจจะไม่แน่ชัดว่าความถนัดของตัวเองคืออะไร แต่ผู้นำ ผู้มองภาพรวมของงานจะต้องมองเห็นถึงรายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้เพราะความเป็น LeaderShip คือการดึงศักยภาพของทุกคนในทีมให้สามารถร่วมงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อให้สามารถสร้างสุดยอดผลงานออกมาได้ Leadership ต้องมีวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ชัดเจน Leadership อย่างหนึ่งที่นับว่าสำคัญที่สุดเลยก็คือผู้นำหรือหัวหน้าต้องรู้ว่าทีมกำลังทำอะไรเพื่ออะไร และต้องมองเห็นภาพรวมในอนาคตหรือก็คือเป้าหมายที่ทีมกำลังช่วยกันสร้างได้ชัดเจนยิ่งกว่าใคร […]
Work-Life Balance ชีวิตการทำงานที่ลงตัว
เพราะชีวิตเกิดมาแค่ครั้งเดียว เราจึงต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่ามากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แต่การจัดการชีวิตให้สามารถ Work-Life Balance ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะแม้ว่าจะกำหนดไว้ชัดเจนแล้วว่าจะนอน 8 ชั่วโมง ทำงาน 8 ชั่วโมง และพักผ่อน 8 ชั่วโมงแต่ความเป็นจริงกลับไม่ง่ายดายแบบนั้น เพราะชีวิตมีหลายด้านเกินกว่าจะสามารถกำหนดได้อย่างง่ายดาย วันนี้ JOBCAN จึงนำเอาหลักการ Work-Life Balance ง่ายๆ ที่ทำให้เราสามารถสร้าง Lifestyle ของเราและกำหนดการ Work-Life Balance ได้ง่ายมากขึ้น โดยมี 5 ข้อ ดังนี้ 1. Work-Life Balance ด้วยการเคารพเวลาที่เราแบ่งเอาไว้ ปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเราไม่สามารถแบ่งเวลาได้อย่างชัดเจนก็เป็นเพราะความคิดฟุ้งซ่านที่ไม่อาจวางงานอื่นออกจากหัวได้นั่นเอง ทำให้แผนการแบ่งเวลาที่เราวางไว้ไม่สามารถไปต่ออย่างมีประสิทธิภาพได้ สุดท้ายก็อาจจะต้องกลับไปทำสิ่งที่ใจห่วงพะวงจนเสียตารางงานไปหมด ตัวอย่างเช่นในช่วงเวลาพักผ่อนนั้นเมื่อเราตั้งให้พักแล้วก็ต้องพักอย่างเต็มที่เพราะหากเราพักทั้งที่ในหัวยังคิดเรื่องงานอยู่ก็จะเท่ากับว่าเราไม่ได้พักเลย สุดท้ายย่อมกลายเป็นไม่ได้พักไปจนทำให้งานที่ทำออกมาไม่ดีก็เป็นได้ ดังนั้นเราต้องจริงจังและเคารพแผนการที่เราวางไว้ให้ดี พักให้จริงจังเหมือนกำลังทำงาน 2. Work-Life Balance ด้วยการกำหนดความสมดุลของชีวิตด้วยตัวเราเอง หลายคนบอกว่าความสมดุลคือการแบ่งทุกอย่างเท่ากัน แต่ชีวิตไม่สามารถเป็นแบบนั้นได้ หลายคนเชื่อว่า Work-Life Balance มีความหมายแบบนั้นแต่ความจริงไม่ใช่เลย ความสมดุลในชีวิตไม่สามารถกำหนดได้โดยใช้กฎของคนอื่น เพราะชีวิตเป็นของเรา ความสมดุลนั้นเราจึงต้องเป็นคนกำหนดเองโดยการมองภาพรวมทั้งชีวิตของคุณหรือจะมองเป็นภาพรวมทั้งปีก็ได้ […]
HR ยุคใหม่ ควรปรับตัวอย่างไรเพื่อเข้าสู่ยุคดิจิตอล
โลกก้าวไปข้างหน้าเร็วขึ้นทุกวัน สังคมการทำงานก็มีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ แล้วกลุ่มคนที่ดูแลพนักงานหรือคนทำงานจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร กลุ่มคนที่ดูแลพนักงานหรือผ่ายบุคคลหรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า hr นี่เป็นกลุ่มที่ทำงานสำคัญนับเป็นหัวใจหลักของบริษัทเลยก็ว่าได้ เมื่อโลกการทำงานมีการเปลี่ยนแปลง ผู้คนไม่ได้ดำเนินชีวิตตามวิถีเดิมอีกต่อไป hr ยุคใหม่นี่จึงต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย เรามาดู 5 ข้อหลักที่ hr ยุคใหม่ควรปรับกันดีกว่า 1.hr ยุคใหม่ต้องใช้โซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์องค์กร ในวัยทำงานทุกคนล้วนมีโซเชียลมีเดียกันอย่างน้อยก็คนละ 1 ช่องทาง และทุกวันไม่ว่าจะเป็นเวลาก่อนเข้าทำงานหรือพักเที่ยงหรือเลิกงานทุกคนล้วนอยู่กับโซเชียลมีเดีย hr ยุคใหม่จึงควรหันมาใช้ช่องทางที่เข้าถึงคนทำงานได้ง่ายอย่างโซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์ทำให้องค์กรเป็นที่รู้จัก ขณะที่องค์กรหรือบริษัทของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้นนั้น ก็สามารถรับข้อมูลอื่นๆ เข้ามาเป็นข่าวสารหรือแนวคิดในการปรับปรุงระบบของการดูแลคนที่ให้มากยิ่งขึ้นได้ด้วย เพราะโซเชียลมีเดียสามารถเป็นได้ทั้งช่องทางสำหรับรับและให้ข้อมูลนั่นเอง 2.hr ยุคใหม่ต้องทำกลยุทธ์หาบุคลากรที่เหมาะสมเข้าองค์กร hr ยุคใหม่ที่เชื่อว่าทุกคนต่างก็มีความสามารถต่างกันออกไป เราเลือกคนที่มีความสามารถเข้าองค์กรนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยากแต่การจะเลือกคนที่สามารถเข้ากับองค์กรได้ดีไม่ทำให้ทีมเวิร์คในองค์กรต้องสะดุดนั้นนับว่าไม่ง่ายเลย ดังนั้นการตามหาคนที่มีความสามารถอย่างที่เราต้องการและยังมีความเข้ากันได้กับองค์กรจำเป็นต้องอาศัยการทำการตลาดให้คนรู้จักวิถีขององค์กรไปพร้อมกับการตามหาคนที่มีความสามารถอย่างที่เราต้องการ เพราะทุกวันนี้การเข้าทำงานไม่ใช่การเลือกของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้นแต่เป็นการตกลงเลือกของทั้งสองฝ้าย 3.hr ยุคใหม่สามารถทำงานผ่านทางไกลได้ ในช่วงที่โควิดระบาดอย่างนี้การปรับเปลี่ยนการทำงานให้ยืดหยุ่นในทุกสถานที่เป็นเรื่องที่ทุกบริษัทต้องปรับเปลี่ยนเพื่อจะได้ขับเคลื่อนกันต่อดังนั้น hr ยุคใหม่จึงต้องสามารถทำงานได้ในทุกสถานที่ หรือเรียกว่า Remote Working ผ่านระบบที่สามารถเช็คข้อมูลหรือเรียกข้อมูลมาได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการเช็คเวลาเข้างาน การกำหนดวันหยุดพักร้อนของพนักงานหรือการอนุมัติเอกสารที่เกี่ยวข้องกับพนักงานก็สามารถทำได้ทันที ไม่ต้องรอไปที่บริษัทเพื่อจัดการกับเอกสารกระดาษเซ็นอนุมัติทีละใบอีกต่อไป 4.hr ยุคใหม่สามารถขับเคลื่อนงานด้วย Data หมดยุคที่ hr ต้องคอยนั่งคีย์ข้อมูลลงตารางหรือกรอกตัวเลขลงเอกสารทีละตัวแล้ว ยิ่งหากได้มีระบบคอยเก็บตัวเลขออกมาไว้เป็นข้อมูลเพื่อวิเคราะห์หาสิ่งที่องค์กรขาดหรือกำลังต้องการมากที่สุดได้ทั้งยังเป็นการใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์อีกด้วย 5.hr […]
คิดเงินเดือน ภาษี รายการลดหย่อนปี 2564
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือนายจ้างเรื่องหนึ่งที่ต้องทำเป็นประจำทุกเดือนก็คือการคิดเงินเดือนให้กับลูกจ้างหรือพนักงานโดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์แปรปรวนจากโรคระบาดแบบนี้ หลายบริษัทให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน (Work form Home) การคิดเงินเดือนจึงนับว่าแทบจะต้องสร้างกติกากันใหม่เลยทีเดียว JOBCAN จึงขอนำเสนอรายละเอียดการคิดเงินเดือนว่า ในหนึ่งเดือนนี้เราต้องเอาอะไรมาคำนวณกันบ้าง การคิดเงินเดือนตามเวลาทำงาน ลูกจ้างที่รับเงินตามเวลาการเข้าทำงานมีหลายรูปแบบโดยส่วนใหญ่จะคิดเป็นรายวันและรายเดือน แต่เมื่อมีรายการเพิ่มเติมเข้ามาจะคำนวณเป็นรายชั่วโมงทันที สำหรับรายเดือนนั้นจะเป็นการนำรายได้ต่อเดือนหาร 30 ซึ่งเป็นจำนวนวันในหนึ่งเดือน ได้เป็นค่าจ้างรายวันจากนั้นก็นำค่าจ้างรายวันที่ได้มาหารชั่วโมงการทำงานต่อวัน ออกมาเป็นค่าจ้างรายชั่วโมงที่จะนำมาคำนวณต่อไป การเพิ่มหรือลดค่าจ้าง เงินเดือนส่วนใหญ่จะมีเหตุผลอยู่ 2 ข้อหลักที่เรามักพบได้บ่อยคือ OT หรือ การทำงานล่วงเวลา การทำงานล่วงเวลาหรือโอทีนั้นเป็นหนึ่งในวิธีที่ทำให้การคิดเงินเดือนมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นเพราะการทำงานล่วงเวลาในแต่ละเดือนนั้นจะไม่เท่ากัน ดังนั้นการคิดเงินเพิ่มเติมส่วนนี้จึงเป็นส่วนที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนทั้งสำหรับนายจ้างและลูกจ้าง โดยทางกระทรวงแรงงานได้กำหนดการคิดเงินเดือนสำหรับส่วนการทำงานล่วงเวลาไว้ดังนี้ ค่าล่วงเวลาในวันทำงานจะอยู่ที่ 1.5 เท่าของเงินเดือน วิธีคำนวณคือ (เงินรายรับต่อชั่วโมง x 1.5) x จำนวนชั่วโมงที่ทำล่วงเวลา ค่าล่วงเวลาในวันหยุดจะอยู่ที่ 3 เท่าของเงินเดือน วิธีคำนวณคือ (เงินรายรับต่อชั่วโมง x3) x จำนวนชั่วโมงที่ทำล่วงเวลา การลา กระทรวงแรงงานได้กำหนดให้พนักงานหรือลูกจ้างต้องมีวันหยุดพักร้อนอย่างน้อย 6 วันต่อปีไม่รวมวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันหยุดราชการ ประเพณีต่างๆ ซึ่งอาจมีการตกลงมากกว่านั้นแล้วแต่นายจ้างจะตกลงกับลูกจ้าง แต่ในกรณีที่อยู่นอกเหนือข้อตกลงเช่น การขาดงานหรือการลาแบบไม่รับเงินจะต้องมีการหักรายรับของลูกจ้างออกตามเวลาที่ลูกจ้างขาดงาน หากขาดไป 2 ชั่วโมงก็ต้องหักรายรับออก […]
HR สบายใช้โปรแกรมง่ายๆ ด้วยระบบ Jobcan Attendance / Jobcan Payroll
งานของฝ่ายบุคคลเป็นงานที่ละเอียดและมีความสำคัญสูงเพราะเกี่ยวข้องกับคนทั้งองค์กร ถ้าแม้ว่าจะทำอย่างละเอียดแล้วอย่างไรก็จะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง หลายบริษัทจึงแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มคน เพื่อให้งานของพนักงานฝ่ายบุคคลสามารถมีเวลาในการตรวจสอบงานได้มากขึ้น แต่ว่าจะดีกว่าไหม หากเราจะมีตัวช่วยหรือโปรแกรม hr ที่ช่วยจัดการทุกอย่างให้เป็นระบบ ลดการทำงานของคนลงแต่เพิ่มการทำงานของระบบให้เดินไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพได้ วันนี้ JOBCAN จึงมานำเสนอโปรแกรม hr ที่มีตัวช่วย 2 ตัวซึ่งจะทำให้งานของฝ่ายบุคคลไม่ว่าจะเป็นการบันทึกเวลาเข้างานอย่างระบบตอกบัตรหรือระบบคิดคำนวณเงินเดือนทำได้อย่างง่ายดายมากขึ้น มาดูกันเลยว่า Jobcan Attendance / Jobcan Payroll จะช่วยอะไรได้บ้างและช่วยอย่างไร Jobcan Attendance เริ่มกันที่โปรแกรม hr บันทึกการเข้า-ออกงานที่หลายองค์กรหรือบริษัทต้องปวดหัวเพราะการระบาดของ Covid-19 ทำให้การเข้า-ออกงานในระบบตอกบัตรแบบเดิมเริ่มใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ถึงเวลาต้องเปลี่ยนรูปแบบบันทึกการเข้างานแบบนี้ JOBCAN สามารถช่วยอย่างไรได้บ้าง จัดการการเข้า-ออกงาน วัตถุประสงค์ของระบบตอกบัตรมีก็เพื่อบันทึกเวลาการทำงานของพนักงานหรือลูกจ้างเพื่อใช้ในการคิดเงินเดือนแต่ด้วยข้อจัดมากมายจึงต้องมีการเปลี่ยนรูปแบบระบบตอกบัตรมาเป็นการเข้า-ออกงานแบบออนไลน์ ซึ่งเป็นโปรแกรม hr ที่ช่วยบันทึกเวลาการทำงานได้อย่างแท้จริงไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทอย่างเดียวอีกต่อไป เหมาะกับทุกคนในบริษัท สร้างกะงานได้หลากหลาย ในสมัยนี้เรามีคนทำงานที่คิดค่าจ้างหลากหลายบางคนเป็นพนักงานประจำ บางคนเป็นฟรีแลนซ์หรือบางคนเป้นพาร์ทไทม์ที่ทำงานแบบนับชั่วโมงเท่านั้น ความน่าปวดหัวนี้จึงต้องมีโปรแกรม hr เข้ามาช่วยโดยโปรแกรม Jobcan Attendance นั้นสามารถตั้งค่าได้ว่าแต่ละคนจะมีระบบตอกบัตรเข้างานของตัวเองอย่างไรบ้าง ตั้งค่าโอที การทำงานล่วงเวลาบางครั้งไม่ได้มีเพียงที่ทำงานเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นช่วงเวลาในการทำโอทีนั้นก็ควรจะถูกบันทึกเอาไว้อย่างแม่นยำเพราะนอกจากจะเกี่ยวข้องการรายได้ของพนักงานคนนั้นๆ ยังเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้ด้วย ซึ่ง Jobcan […]
คำนวณภาษีเงินได้ไม่ยากอย่างที่คิด เรื่องง่ายๆ ที่มนุษย์เงินเดือนทำได้หากวางแผนดี
เปิดศักราชใหม่แห่งการทำงาน หนึ่งเรื่องของมนุษย์เงินเดือนที่ต้องเตรียมตัวกันทุกต้นปีก็คือการยื่นภาษี เพราะตลอดปีที่อดทนทำงานกันมานั้นแต่ละคนก็มีรายรับที่เข้ามาแตกต่างกัน ดังนั้นในการคำนวณภาษีเพื่อยื่นกับสรรพากรของแต่ละคนก็ย่อมมีรายละเอียดที่แตกต่างกันด้วย แต่ไม่ว่าจะยื่นกันมาสักกี่ปีก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะทำได้คล่อง หรือเข้าใจในกระบวนการยื่นภาษีแบบแจ่มแจ้ง เพื่อคลายความสงสัยด้านการยื่นภาษีในปีนี้ JOBCAN รวบรวมข้อสงสัยที่คนเสียภาษีถามกันอยู่ทุกปีถึง 8 ข้อ รับรองว่า อ่านก่อน รู้ก่อน หมดความกังวลใจในเรื่องการยื่นภาษีอย่างแน่นอน เข้าใจก่อนยื่นภาษีเงินได้ของเราคือ ภ.ง.ด. 90 หรือ ภ.ง.ด. 91 ! ภ.ง.ด. 90 คือ ผู้ที่มีรายได้นอกเหนือจากเงินเดือนที่ได้รับ เช่น ค้าขายแบบบุคคลธรรมดา เงินปันผล และรายได้อื่นๆ ภ.ง.ด. 91 คือคนที่มีเงินเดือน โบนัส และค่าครองชีพ โดยไม่มีรายได้จากทางอื่น คนทุกคนที่มีรายได้ต้องยื่นแบบเสียภาษี ไม่ว่าจะมีอายุเท่าใดก็ตาม โดยหากเป็นเด็กเยาวชนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะให้นำไปยื่นร่วมกับพ่อและแม่ แต่หากอายุเกิน 18 ปี บรรลุนิติภาวะและมีรายได้แล้วก็ต้องยื่นแบบเสียภาษีเงินได้ ส่วนจะอยู่ในเกณฑ์ที่ได้รับการยกเว้นหรือต้องเสียภาษีเพิ่มเติมก็แยกตามแต่ละบุคคล คำนวณภาษีไม่ใช่เรื่องยาก หากวางแผนดีและมีตัวช่วยในการคิดภาษีเงินได้ รู้ก่อนยื่นภาษี เงินเดือนอย่างเรานี่ต้องเสียภาษีเท่าไหร่นะ? ในการคำนวณการยื่นภาษีนั้น เราจะใช้การคำนวณเงินได้ออกมาแบบรายปี คือการนำเงินได้ตลอด 12 เดือนมารวมกันได้เป็น ‘เงินได้สุทธิ’ ที่สามารถนำมาใช้เทียบกับอัตราภาษีที่ต้องเสียได้ดังนี้ […]