การยื่นภาษีเงินได้เป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นประจำทุกปีสำหรับผู้มีรายได้ หากในรายได้อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติมก็จะต้องจ่ายเพิ่ม แต่บางคนก็สามารถได้เงินภาษีกลับคืนมาด้วยเช่นกัน เพราะมีรายการบางอย่างที่มีการกำหนดให้สามารถใช้ลดหย่อนการจ่ายภาษีได้ ดังนั้นก่อนการจ่ายภาษี เราสามารถวางให้คำนวณภาษีให้สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้มากที่สุดเพื่อประหยัดเงินในกระเป๋า ซึ่งสิทธิ์การลดหย่อนนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงในทุกปีจำเป็นต้องติดตามให้ดีเพื่อจะได้วางแผนได้อย่างเหมาะสม เรามาดูกันดีกว่าว่าในปี 2564 เราสามารถคำนวณภาษีเพื่อลดหย่อนส่วนใดได้บ้าง ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว เป็นค่าลดหย่อนที่หักออกเพราะคิดเป็นส่วนของการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ค่าลดหย่อนส่วนตัว สามารถคำนวนภาษีลดหย่อนได้ 60,000 บาททันที ค่าลดหย่อนคู่สมรส สามารถคำนวนภาษีลดหย่อนได้ 60,000 บาทในกรณีที่คู่สมรสไม่มีรายได้ ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตร สามารถคำนวณภาษีได้ไม่เกิน 60,000 บาทต่อปี โดยสามีสามารถใช้ลดหย่อนได้ในกรณีที่ภรรยาไม่มีรายได้ เอกสารหลักฐานที่ต้องใช้ลดหย่อนการฝากครรภ์และคลอดบุตรคือ ใบเสร็จรับเงินและใบรับรองแพทย์จากสถานพยาบาล ค่าลดหย่อนภาษีบุตร สามารถลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท การคำนวนภาษีเพื่อลดหย่อนในส่วนของการเลี้ยงดูบุตรมีเงื่อนไขดังนี้ ต้องเป็นบุตรหรือบุตรบุญธรรมตามกฎหมายอายุไม่เกิน 20 ปีหรือไม่เกิน 25 ปีและกำลังศึกษาอยู่ กรณีบุตรอายุเกิน 25 ปีขึ้นไป แต่มีสถานะเป็นบุคคลไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถจะลดหย่อนในกรณีของบุตรคนที่ 2 ได้ บุตรคนที่ 2 ที่เกิดก่อนปีพ.ศ. 2561 จะลดหย่อนได้ 30,000 บาท หากเกิดหลังจากปีพ.ศ. 2561 จะสามารถลดหย่อนได้ 60,000 บาท […]
Leadership หรือภาวะความเป็นผู้นำ เป็นสิ่งที่หลายบริษัทตามหาและต้องการกันเป็นอย่างมากเพราะว่าหากมีคนที่มี Leadership เข้ามาช่วยบริหารดูแลทีมแล้วผลงานที่ได้เรียกว่าจะมีความสำเร็จมากกว่าความล้มเหลวเสียอีก หรือหากมีการล้มเหลวเกิดขึ้นทีมก็สามารถฟื้นตัวได้ไว ปัญหาเกี่ยวกับความขัดแย้งก็จะมีน้อยตามไปด้วย แล้วคนที่มีภาวะความเป็นผู้นำหรือ Leadership นี้จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง เราไปดูกัน Leadership สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนในทีมได้ คุณสมบัติแรกที่ LeaderShip ควรจะมีคือความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดแรงกระตุ้นในการทำงาน อยากเรียนรู้และความต้องการในการพัฒนาตนเองเพราะบริษัทและทีมที่ดีจะต้องมีการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด คนที่เป็นผู้นำจึงต้องสามารถกระตุ้นสมาชิกทีมทุกคนได้ โดยผู้นำอาจจะทำตัวเป็นตัวอย่างของคนที่ไม่หยุดนิ่งซึ่งเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นให้สมาชิกต้องการัฒนาตาไปด้วยได้เช่นกัน Leadership สามารถสื่อสารกับทุกคนในทีมได้อย่างเหมาะสม ความเป็นทีมต้องมีความสามัคคีซึ่งอาจเกิดจากความผูกพันและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ขณะเดียวกันในช่วงเวลาทำงานนั้นก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงช่วงเวลาของความขัดแย้งหรือช่วงเวลาที่ใครบางคนในทีมเกิดปัญหาไม่ได้ จึงต้องมีผู้นำที่มี LeaderShip เข้ามาคอยสื่อสารและสังเกตปัญหาเพื่อแก้ไขได้อย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ทำให้สมาชิกรู้สึกเป็นส่วนเกินซึ่งทักษะการสื่อสารนับเป็นทักษะสำคัญอย่างมากที่ผู้นำต้องมี Leadership สามารถบริหารจัดการอารมณ์ได้ดี หลายครั้งที่อารมณ์เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งภายในองค์กรและสร้างหายนะได้มากกว่าที่คุณคิด ดังนั้นในความเป็น LeaderShip ผู้นำที่ดีจึงต้องสามารถบริหารจัดการอารมณ์ของตนเองได้เป็นอย่างดี สามารถปรับอารมณ์ได้แม้ในเวลากระชั้นชิดเพื่อรักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในทีมเอาไว้นั่นเอง Leadership กล้าตัดสินใจและรับผิดชอบผลที่ตามมา คนที่เป็นผู้นำนั้นจะได้เห็นภาพรวมและข้อมูลต่างๆ ภายในทีมทั้งหมดที่แม้ว่าสมาชิกทีมจะประชุมระดมสมองทั้งหมดเพื่อคิดแนวทาง วิธีการหรือสร้างผลงานต่างๆ แต่สุดท้ายการตัดสินใจทั้งหมดจะอยู่ที่ผู้นำ ดังนั้นหนึ่งในความเป็น LeaderShip จึงเป็นความกล้าตัดสินใจและต้องกล้ารับผิดชอบผลที่ตามมาทั้งหมดด้วย Leadership สามารถดึงศักยภาพของทีมออกมาได้สูงสุด เพราะคนทุกคนต่างก็มีความสามารถแตกต่างกันออกไปจึงมีรูปแบบงานที่เหมาะสมแตกต่างกันออกไปด้วย ซึ่งบางครั้งกระทั่งตัวบุคคลเองอาจจะไม่แน่ชัดว่าความถนัดของตัวเองคืออะไร แต่ผู้นำ ผู้มองภาพรวมของงานจะต้องมองเห็นถึงรายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้เพราะความเป็น LeaderShip คือการดึงศักยภาพของทุกคนในทีมให้สามารถร่วมงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อให้สามารถสร้างสุดยอดผลงานออกมาได้ Leadership ต้องมีวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ชัดเจน Leadership อย่างหนึ่งที่นับว่าสำคัญที่สุดเลยก็คือผู้นำหรือหัวหน้าต้องรู้ว่าทีมกำลังทำอะไรเพื่ออะไร และต้องมองเห็นภาพรวมในอนาคตหรือก็คือเป้าหมายที่ทีมกำลังช่วยกันสร้างได้ชัดเจนยิ่งกว่าใคร […]
เพราะชีวิตเกิดมาแค่ครั้งเดียว เราจึงต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่ามากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แต่การจัดการชีวิตให้สามารถ Work-Life Balance ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะแม้ว่าจะกำหนดไว้ชัดเจนแล้วว่าจะนอน 8 ชั่วโมง ทำงาน 8 ชั่วโมง และพักผ่อน 8 ชั่วโมงแต่ความเป็นจริงกลับไม่ง่ายดายแบบนั้น เพราะชีวิตมีหลายด้านเกินกว่าจะสามารถกำหนดได้อย่างง่ายดาย วันนี้ JOBCAN จึงนำเอาหลักการ Work-Life Balance ง่ายๆ ที่ทำให้เราสามารถสร้าง Lifestyle ของเราและกำหนดการ Work-Life Balance ได้ง่ายมากขึ้น โดยมี 5 ข้อ ดังนี้ 1. Work-Life Balance ด้วยการเคารพเวลาที่เราแบ่งเอาไว้ ปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเราไม่สามารถแบ่งเวลาได้อย่างชัดเจนก็เป็นเพราะความคิดฟุ้งซ่านที่ไม่อาจวางงานอื่นออกจากหัวได้นั่นเอง ทำให้แผนการแบ่งเวลาที่เราวางไว้ไม่สามารถไปต่ออย่างมีประสิทธิภาพได้ สุดท้ายก็อาจจะต้องกลับไปทำสิ่งที่ใจห่วงพะวงจนเสียตารางงานไปหมด ตัวอย่างเช่นในช่วงเวลาพักผ่อนนั้นเมื่อเราตั้งให้พักแล้วก็ต้องพักอย่างเต็มที่เพราะหากเราพักทั้งที่ในหัวยังคิดเรื่องงานอยู่ก็จะเท่ากับว่าเราไม่ได้พักเลย สุดท้ายย่อมกลายเป็นไม่ได้พักไปจนทำให้งานที่ทำออกมาไม่ดีก็เป็นได้ ดังนั้นเราต้องจริงจังและเคารพแผนการที่เราวางไว้ให้ดี พักให้จริงจังเหมือนกำลังทำงาน 2. Work-Life Balance ด้วยการกำหนดความสมดุลของชีวิตด้วยตัวเราเอง หลายคนบอกว่าความสมดุลคือการแบ่งทุกอย่างเท่ากัน แต่ชีวิตไม่สามารถเป็นแบบนั้นได้ หลายคนเชื่อว่า Work-Life Balance มีความหมายแบบนั้นแต่ความจริงไม่ใช่เลย ความสมดุลในชีวิตไม่สามารถกำหนดได้โดยใช้กฎของคนอื่น เพราะชีวิตเป็นของเรา ความสมดุลนั้นเราจึงต้องเป็นคนกำหนดเองโดยการมองภาพรวมทั้งชีวิตของคุณหรือจะมองเป็นภาพรวมทั้งปีก็ได้ […]
โลกก้าวไปข้างหน้าเร็วขึ้นทุกวัน สังคมการทำงานก็มีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ แล้วกลุ่มคนที่ดูแลพนักงานหรือคนทำงานจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร กลุ่มคนที่ดูแลพนักงานหรือผ่ายบุคคลหรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า hr นี่เป็นกลุ่มที่ทำงานสำคัญนับเป็นหัวใจหลักของบริษัทเลยก็ว่าได้ เมื่อโลกการทำงานมีการเปลี่ยนแปลง ผู้คนไม่ได้ดำเนินชีวิตตามวิถีเดิมอีกต่อไป hr ยุคใหม่นี่จึงต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย เรามาดู 5 ข้อหลักที่ hr ยุคใหม่ควรปรับกันดีกว่า 1.hr ยุคใหม่ต้องใช้โซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์องค์กร ในวัยทำงานทุกคนล้วนมีโซเชียลมีเดียกันอย่างน้อยก็คนละ 1 ช่องทาง และทุกวันไม่ว่าจะเป็นเวลาก่อนเข้าทำงานหรือพักเที่ยงหรือเลิกงานทุกคนล้วนอยู่กับโซเชียลมีเดีย hr ยุคใหม่จึงควรหันมาใช้ช่องทางที่เข้าถึงคนทำงานได้ง่ายอย่างโซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์ทำให้องค์กรเป็นที่รู้จัก ขณะที่องค์กรหรือบริษัทของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้นนั้น ก็สามารถรับข้อมูลอื่นๆ เข้ามาเป็นข่าวสารหรือแนวคิดในการปรับปรุงระบบของการดูแลคนที่ให้มากยิ่งขึ้นได้ด้วย เพราะโซเชียลมีเดียสามารถเป็นได้ทั้งช่องทางสำหรับรับและให้ข้อมูลนั่นเอง 2.hr ยุคใหม่ต้องทำกลยุทธ์หาบุคลากรที่เหมาะสมเข้าองค์กร hr ยุคใหม่ที่เชื่อว่าทุกคนต่างก็มีความสามารถต่างกันออกไป เราเลือกคนที่มีความสามารถเข้าองค์กรนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยากแต่การจะเลือกคนที่สามารถเข้ากับองค์กรได้ดีไม่ทำให้ทีมเวิร์คในองค์กรต้องสะดุดนั้นนับว่าไม่ง่ายเลย ดังนั้นการตามหาคนที่มีความสามารถอย่างที่เราต้องการและยังมีความเข้ากันได้กับองค์กรจำเป็นต้องอาศัยการทำการตลาดให้คนรู้จักวิถีขององค์กรไปพร้อมกับการตามหาคนที่มีความสามารถอย่างที่เราต้องการ เพราะทุกวันนี้การเข้าทำงานไม่ใช่การเลือกของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้นแต่เป็นการตกลงเลือกของทั้งสองฝ้าย 3.hr ยุคใหม่สามารถทำงานผ่านทางไกลได้ ในช่วงที่โควิดระบาดอย่างนี้การปรับเปลี่ยนการทำงานให้ยืดหยุ่นในทุกสถานที่เป็นเรื่องที่ทุกบริษัทต้องปรับเปลี่ยนเพื่อจะได้ขับเคลื่อนกันต่อดังนั้น hr ยุคใหม่จึงต้องสามารถทำงานได้ในทุกสถานที่ หรือเรียกว่า Remote Working ผ่านระบบที่สามารถเช็คข้อมูลหรือเรียกข้อมูลมาได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการเช็คเวลาเข้างาน การกำหนดวันหยุดพักร้อนของพนักงานหรือการอนุมัติเอกสารที่เกี่ยวข้องกับพนักงานก็สามารถทำได้ทันที ไม่ต้องรอไปที่บริษัทเพื่อจัดการกับเอกสารกระดาษเซ็นอนุมัติทีละใบอีกต่อไป 4.hr ยุคใหม่สามารถขับเคลื่อนงานด้วย Data หมดยุคที่ hr ต้องคอยนั่งคีย์ข้อมูลลงตารางหรือกรอกตัวเลขลงเอกสารทีละตัวแล้ว ยิ่งหากได้มีระบบคอยเก็บตัวเลขออกมาไว้เป็นข้อมูลเพื่อวิเคราะห์หาสิ่งที่องค์กรขาดหรือกำลังต้องการมากที่สุดได้ทั้งยังเป็นการใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์อีกด้วย 5.hr […]
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือนายจ้างเรื่องหนึ่งที่ต้องทำเป็นประจำทุกเดือนก็คือการคิดเงินเดือนให้กับลูกจ้างหรือพนักงานโดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์แปรปรวนจากโรคระบาดแบบนี้ หลายบริษัทให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน (Work form Home) การคิดเงินเดือนจึงนับว่าแทบจะต้องสร้างกติกากันใหม่เลยทีเดียว JOBCAN จึงขอนำเสนอรายละเอียดการคิดเงินเดือนว่า ในหนึ่งเดือนนี้เราต้องเอาอะไรมาคำนวณกันบ้าง การคิดเงินเดือนตามเวลาทำงาน ลูกจ้างที่รับเงินตามเวลาการเข้าทำงานมีหลายรูปแบบโดยส่วนใหญ่จะคิดเป็นรายวันและรายเดือน แต่เมื่อมีรายการเพิ่มเติมเข้ามาจะคำนวณเป็นรายชั่วโมงทันที สำหรับรายเดือนนั้นจะเป็นการนำรายได้ต่อเดือนหาร 30 ซึ่งเป็นจำนวนวันในหนึ่งเดือน ได้เป็นค่าจ้างรายวันจากนั้นก็นำค่าจ้างรายวันที่ได้มาหารชั่วโมงการทำงานต่อวัน ออกมาเป็นค่าจ้างรายชั่วโมงที่จะนำมาคำนวณต่อไป การเพิ่มหรือลดค่าจ้าง เงินเดือนส่วนใหญ่จะมีเหตุผลอยู่ 2 ข้อหลักที่เรามักพบได้บ่อยคือ OT หรือ การทำงานล่วงเวลา การทำงานล่วงเวลาหรือโอทีนั้นเป็นหนึ่งในวิธีที่ทำให้การคิดเงินเดือนมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นเพราะการทำงานล่วงเวลาในแต่ละเดือนนั้นจะไม่เท่ากัน ดังนั้นการคิดเงินเพิ่มเติมส่วนนี้จึงเป็นส่วนที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนทั้งสำหรับนายจ้างและลูกจ้าง โดยทางกระทรวงแรงงานได้กำหนดการคิดเงินเดือนสำหรับส่วนการทำงานล่วงเวลาไว้ดังนี้ ค่าล่วงเวลาในวันทำงานจะอยู่ที่ 1.5 เท่าของเงินเดือน วิธีคำนวณคือ (เงินรายรับต่อชั่วโมง x 1.5) x จำนวนชั่วโมงที่ทำล่วงเวลา ค่าล่วงเวลาในวันหยุดจะอยู่ที่ 3 เท่าของเงินเดือน วิธีคำนวณคือ (เงินรายรับต่อชั่วโมง x3) x จำนวนชั่วโมงที่ทำล่วงเวลา การลา กระทรวงแรงงานได้กำหนดให้พนักงานหรือลูกจ้างต้องมีวันหยุดพักร้อนอย่างน้อย 6 วันต่อปีไม่รวมวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันหยุดราชการ ประเพณีต่างๆ ซึ่งอาจมีการตกลงมากกว่านั้นแล้วแต่นายจ้างจะตกลงกับลูกจ้าง แต่ในกรณีที่อยู่นอกเหนือข้อตกลงเช่น การขาดงานหรือการลาแบบไม่รับเงินจะต้องมีการหักรายรับของลูกจ้างออกตามเวลาที่ลูกจ้างขาดงาน หากขาดไป 2 ชั่วโมงก็ต้องหักรายรับออก […]
งานของฝ่ายบุคคลเป็นงานที่ละเอียดและมีความสำคัญสูงเพราะเกี่ยวข้องกับคนทั้งองค์กร ถ้าแม้ว่าจะทำอย่างละเอียดแล้วอย่างไรก็จะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง หลายบริษัทจึงแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มคน เพื่อให้งานของพนักงานฝ่ายบุคคลสามารถมีเวลาในการตรวจสอบงานได้มากขึ้น แต่ว่าจะดีกว่าไหม หากเราจะมีตัวช่วยหรือโปรแกรม hr ที่ช่วยจัดการทุกอย่างให้เป็นระบบ ลดการทำงานของคนลงแต่เพิ่มการทำงานของระบบให้เดินไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพได้ วันนี้ JOBCAN จึงมานำเสนอโปรแกรม hr ที่มีตัวช่วย 2 ตัวซึ่งจะทำให้งานของฝ่ายบุคคลไม่ว่าจะเป็นการบันทึกเวลาเข้างานอย่างระบบตอกบัตรหรือระบบคิดคำนวณเงินเดือนทำได้อย่างง่ายดายมากขึ้น มาดูกันเลยว่า Jobcan Attendance / Jobcan Payroll จะช่วยอะไรได้บ้างและช่วยอย่างไร Jobcan Attendance เริ่มกันที่โปรแกรม hr บันทึกการเข้า-ออกงานที่หลายองค์กรหรือบริษัทต้องปวดหัวเพราะการระบาดของ Covid-19 ทำให้การเข้า-ออกงานในระบบตอกบัตรแบบเดิมเริ่มใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ถึงเวลาต้องเปลี่ยนรูปแบบบันทึกการเข้างานแบบนี้ JOBCAN สามารถช่วยอย่างไรได้บ้าง จัดการการเข้า-ออกงาน วัตถุประสงค์ของระบบตอกบัตรมีก็เพื่อบันทึกเวลาการทำงานของพนักงานหรือลูกจ้างเพื่อใช้ในการคิดเงินเดือนแต่ด้วยข้อจัดมากมายจึงต้องมีการเปลี่ยนรูปแบบระบบตอกบัตรมาเป็นการเข้า-ออกงานแบบออนไลน์ ซึ่งเป็นโปรแกรม hr ที่ช่วยบันทึกเวลาการทำงานได้อย่างแท้จริงไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทอย่างเดียวอีกต่อไป เหมาะกับทุกคนในบริษัท สร้างกะงานได้หลากหลาย ในสมัยนี้เรามีคนทำงานที่คิดค่าจ้างหลากหลายบางคนเป็นพนักงานประจำ บางคนเป็นฟรีแลนซ์หรือบางคนเป้นพาร์ทไทม์ที่ทำงานแบบนับชั่วโมงเท่านั้น ความน่าปวดหัวนี้จึงต้องมีโปรแกรม hr เข้ามาช่วยโดยโปรแกรม Jobcan Attendance นั้นสามารถตั้งค่าได้ว่าแต่ละคนจะมีระบบตอกบัตรเข้างานของตัวเองอย่างไรบ้าง ตั้งค่าโอที การทำงานล่วงเวลาบางครั้งไม่ได้มีเพียงที่ทำงานเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นช่วงเวลาในการทำโอทีนั้นก็ควรจะถูกบันทึกเอาไว้อย่างแม่นยำเพราะนอกจากจะเกี่ยวข้องการรายได้ของพนักงานคนนั้นๆ ยังเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้ด้วย ซึ่ง Jobcan […]