มนุษย์เงินเดือนควรลางานอย่างไรให้เป็นมืออาชีพ?

ตามกฎหมายแรงงานแล้วพนักงานจะต้องมีวันหยุดตามกำหนดเพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อน ทั้งยังเป็นการให้เวลาลูกจ้างหรือพนักงานได้จัดการชีวิตในด้านอื่นๆ ให้เรียบร้อย เพื่อสามารถกลับมาสร้างผลงานที่ดีต่อไปได้ แต่วันหยุดที่มีจำกัดเหล่านั้นควรจะใช้อย่างไรให้คนไม่สงสัยและยังดูสมกับเป็นมืออาชีพ วันนี้เรามาดูกัน ประเภทของวันลาหยุด ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับสิทธิ์วันลาที่สามารถใช้ได้โดยไม่ถูกหักเงินเดือนในแต่ละโอกาสกัน ว่าจะมีอะไรบ้าง การลาป่วย การลาป่วยสามารถลาติดกันได้ 3 วันโดยไม่มีใบรับรองแพทย์ แต่หลังจากนั้นจะต้องส่งใบรับรองแพทย์ด้วย และในการลาป่วยจะลาได้ไม่เกิน 30 วันทำงานต่อหนึ่งปี การลาพักร้อน ตามกฎหมายแรงงานกำหนดว่า หากลูกจ้างทำงานเป็นเวลา 1 ปีจะต้องมีวันลาพักร้อนอยู่ที่ 6 วันขึ้นไป บางแห่งอาจมีสวัสดิการที่สามารถทบวันหยุดไว้สำหรับปีถัดไปได้เช่นกัน โดยรายละเอียดจะขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างลูกจ้างและนายจ้าง การลาคลอดและการลาทำหมัน สำหรับการลาคลอดนั้น ลูกจ้างที่เป็นหญิงสามารถลาได้ไม่เกิน 90 วันต่อหนึ่งครรภ์ โดยจะได้รับเงินค่าจ้างเท่ากับวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลาแต่ไม่เกิน 45 วัน และสามารถลาทำหมันได้โดยให้สิทธิ์ลาตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ ซึ่งต้องมีการออกใบรับรองให้ชัดเจนด้วย การลากิจและการลาอื่นๆ ในกรณีที่มีเหตุอื่นๆ ต้องลาสามารถแจ้งกับนายจ้างเพื่อตกลงวันลาและค่าจ้างกันได้ ตัวอย่างเช่นการลากิจ การลาบวช การลางานเพื่อรับราชการ การลางานเพื่อฝึกอบรม เป็นต้น เทคนิคการลางานอย่างมืออาชีพ การลางานบางครั้งก็ทำให้คนลารู้สึกไม่สบายใจและยังทำให้เพื่อนร่วมงานเคลือบแคลงสงสัย แล้วควรจะลาอย่างไรให้ไม่ลำบากใจได้บ้าง เรามาดูกัน ใช้สิทธิ์ลาไปเลย การใช้สิทธิ์วันลางานเป็นหนึ่งในการรักษาผลประโยชน์ของเรา และยังเป็นสิทธิของเราที่เราสามารถใช้ได้ ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องรู้สึกลำบากใจกับการเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยหรือกิจธุระที่เล็กน้อย เพราะเราสามารถลาได้อย่างที่ต้องการตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ ดีกว่าทำให้อาการเจ็บป่วยหรือร่างกายแย่ลงไป  […]

อยากให้นายรัก.. ต้องทำตัวแบบนี้

สำหรับคนทำงานทุกคนที่ยังมีนายจ้าง บอส หรือหัวหน้างานอยู่นั้นย่อมต้องพยายามหาวิธีการเพื่อให้เรามีโอกาสได้สร้างผลงานและก้าวหน้าในการทำงาน แต่ไม่ใช่ว่าการทำให้เจ้านายรักได้จะเป็นเรื่องง่ายที่ทำเพียงตั้งใจทำงานก็ได้แล้ว เพราะคนเป็นหัวหน้า เป็นเจ้านายย่อมมีตัวเลือกมากมายให้สามารถสร้างผลงานได้ แล้วเราจะทำอย่างไรให้นายรักได้กันล่ะ วันนี้ JOBCAN ได้รวบรวมเอาวิธีการทำให้เจ้านายรักมาให้คุณแล้ว โดยเราได้รวบรวมเอาเทคนิคทำให้นายรักมาด้วยกัน 7 ข้อ ลองไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง เรียงลำดับความสำคัญของงานตามเป้าหมายของเจ้านาย หากกล่าวให้ง่ายก็คือเราต้องให้ความสำคัญกับเป้าหมายตามที่เจ้านายต้องการนั่นเอง แม้จะฟังดูไม่ยากเท่าไรแต่ความจริงแล้วกลับต้องเดาใจเจ้านายกันระดับหนึ่งเลยทีเดียวเพราะเจ้านายบางคนมักไม่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาถึงสิ่งที่ต้องการ ดังนั้น สิ่งที่ลูกน้องในทีมอย่างเราต้องทำก็คือการอ่านความต้องการให้นายให้ออกนั่นเอง แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นคนจากตำแหน่งก็ตามพวกเขาล้วนชื่นชอบความตรงไปตรงมา ยิ่งเป็นเรื่องของการทำงานด้วยแล้ว หากเราตรงไปตรงมาอย่างมีเหตุผลยิ่งทำให้การทำงานเดินไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และยิ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงใจและความเชื่อใจที่เรามีให้กับเจ้านายด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นการแสดงความคิดเห็นก็ควรอยู่ในระดับที่สุภาพและเหมาะสมต่อสถานการณ์ด้วย ไม่อย่างนั้นความตรงไปตรงมานี้อาจถูกมองว่าเป็นการพูดไม่คิดไปเสีย มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคน การผูกมิตรในที่ทำงานอย่างกว้างขวางไม่ว่าจะเป็นคนจากตำแหน่งใดก็ตามจะทำให้เจ้านายรู้สึกได้ว่าคุณสามารถติดต่อประสานงานหรือทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ดีมากขึ้น เพราะการทำตัวให้เป็นที่ชื่นชอบจะทำให้เพื่อนร่วมงานพูดถึงคุณในทางที่ดีมากขึ้น อีกทั้งยังสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือในการทำงานได้ด้วย ที่สำคัญการเป็นมิตรต่อทุกคน สร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ยังช่วยให้งานราบรื่นมากขึ้น สามารถร่วมงานกันอย่างเป็นทีมได้ดีขึ้น กระตือรือร้นในการทำงาน ไม่มีใครอยากเห็นภาพคนเบื่องานในยามเช้าอย่างแน่นอน ทุกคนต่างก้อยากได้รับพลังงานบวกที่ดูแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่ากันทั้งนั้น ดังนั้น เตรียมพร้อมท่าทางและทัศนคติที่มีต่องานของคุณให้สดชื่น เตรียมพร้อมรับความท้าทายหรือปัญหาที่จะเข้ามาด้วยรอยยิ้ม หัวหน้าเห็นแบบนี้แล้วยังจะไม่ชอบได้อย่างไรกัน ขอแนะนำว่าความรู้สึกนี้ควรมาจากใจนะ ไม่อย่างนั้นมันจะดูแย่มากทีเดียว เตรียมความพร้อมในการทำงานอยู่เสมอ การทำงานนั้นเป็นเรื่องท้าทายในบางครั้งที่เราต้องพบกับอุปสรรคแบบใหม่หรือเริ่มโปรเจคใหม่ขึ้นมา ในเวลานั้นย่อมมีข้อมูลมากมายที่คุณต้องเรียนรู้หรือค้นหาเพื่อประกอบการทำงาน และหากคุณเตรียมความพร้อมมาไว้ก่อนก็จะยิ่งเสริมความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับคุณได้มากขึ้น ยิ่งเมื่อหัวหน้าของคุณมีคำถามและคำตอบที่ได้มาจากคุณแล้ว ยิ่งทำให้หัวหน้ารักคุณมากขึ้นอย่างแน่นอน ยอมรับและแก้ไขเมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น เมื่อเริ่มลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็ย่อมรู้ดี หัวหน้าของคุณเองก็เช่นกัน แต่ความสำคัญเมื่อเกิดปัญหานั้นอยู่ที่การรับมือกับปัญหาของพนักงานมากกว่าว่าจะสามารถจัดการปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร […]

แนวทางปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ยุคดิจิตอลด้วย Digital Transformation

ในแต่ละยุคสมัยจะมีรูปแบบการทำงานที่แตกต่างกันออกไปซึ่งรูปแบบการทำงานเหล่านี้นั้นจะมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยและวิถีชีวิตของผู้คนมากที่สุดเท่าที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งในยุคที่เราโดนบีบบังคับเร่งเร้าจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด การพัฒนาของเทคโนโลยีหรือสภาวการณ์ของโลกก็ตาม ช่วงเวลาแบบนี้ทำให้เราต้องเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านอีกครั้งอย่างรวดเร็ว นั่นคือการก้าวเข้าสู่ Digital transformation หลายคนคงสงสัยกันว่า Digital Transformation คืออะไรกันแน่ วันนี้ JOBCAN จึงมาไขข้อสงสัยว่า Digital Transformation คืออะไร แล้วมีความสำคัญอย่างไรบ้าง ทำความรู้จักกับ Digital Transformation Digital Transformation คือการนำเอาเทคโนโลยีดิจิตอลเข้ามาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการซึ่งจะตรงตามความหมายคือการเปลี่ยนแปลง (Transformation) เข้าสู่ยุคดิจิตอล (Digital) นับเป็นการเปลี่ยนทั้งกระบวนการทำงานให้เข้าสู่ระบบดิจิตอล ลดความผิดพลาดของมนุษย์และลดต้นทุนเพราะทุกอย่างเข้าสู่รูปแบบดิจิตอลพร้อมกับปรับโมเดลธุรกิจให้สามารถเพิ่มประสบการณ์ทางดิจิตอลให้กับลูกค้าได้คุณค่าใหม่ๆ และความสะดวกสบายที่มากขึ้น ความสำคัญของ Digital Transformation Digital Transformation นั้นเป็นเรื่องที่สมควรต้องทำอย่างยิ่งสำหรับในโลกธุรกิจเพราะการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทุกอย่างนี้จะช่วยให้ต้นทุนในการบริหารทรัพยากรควบคุมได้ง่ายมากขึ้นและยังใช้ทรัพยากรน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเวลา แรงงานหรือทรัพยากรด้านอื่นๆ เช่นกระดาษ หมึกพิมพ์ เครื่องเขียนอื่นๆ เป็นต้น โดยส่วนงานทั้งหมดจะมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยมากขึ้นพร้อมกับการดำเนินโดยพึ่งพาระบบดิจิตอลเข้าช่วยในการดูแลงานด้วย ทำให้ความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์มีน้อยลง สามารถนำเอาทรัพยากรที่มีไปลงทุนกับส่วนงานที่ให้ผลตอบแทนสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจได้มากขึ้น ปัจจัยสำคัญในการเข้าสู่ Digital Transformation การเข้าสู่ช่วง Digital Transformation นั้นบริษัทจะต้องเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานทั้งหมด แต่ยังมีปัจจัยหลักที่เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาสู่ Digital […]

บริษัทควรเตรียมตัวอย่างไร ก่อนให้พนักงานกลับมา work on site

สถานการณ์โรคระบาดอย่างโควิด-19 ยังคงมีการระบาดอยู่บ้างแต่ก็นับได้ว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว หลายคนได้รับวัคซีนแล้วจึงทำให้หลายองค์กรเริ่มพิจารณาการกลับมาทำงาน on site หรือกลับมาเข้าบริษัทเหมือนเดิม แม้ว่าสถานการณ์จะดูเหมือนดีขึ้นแต่การระบาดของโรคก็ยังคงอยู่ มีเพียงความรุนแรงที่ลดลง ด้วยสถานการณ์ที่ต้องเฝ้าระวังกันแบบนี้ บริษัทควรเตรียมความพร้อมให้พนักงานกับมาทำงาน on site อย่างไรได้บ้าง  วันนี้ JOBCAN จึงมานำเสนอ 4 ข้อที่ควรทำเพื่อให้องค์กรสามารถเรียกพนักงานกลับมาโดยลดความเสี่ยงลงได้บ้าง  เพิ่มมาตรการการรักษาความสะอาดและการฆ่าเชื้อ สิ่งสำคัญเมื่อมีการเกิดโรคระบาดคือการรักษาความสะอาด โดยเฉพาะกับโควิดที่สามารถแพร่เชื่อได้ง่ายผ่านทางการหายใจและการสัมผัส ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญกับการดูแลเรื่องความสะอาด สุขอนามัยที่ดี และยิ่งไปกว่านั้น จะต้องเพิ่มกระบวนการฆ่าเช้อเข้ามาด้วย โดยปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีที่สามารถตั้งเวลาการพ่นยาฆ่าเชื้อได้ อีกสิ่งหนึ่งที่บริษัทสามารถเตรียมความพร้อมได้คือการสร้างข้อตกลงระหว่างพนักงานบริษัทเพื่อลดความเสี่ยงด้านต่างๆ เช่นการดูแลอุปกรณ์ส่วนกลาง สร้างกฎการอยู่ร่วมกันในบริษัท และอาจมีการนำเอาเทคโนโลยีตัวช่วยต่างๆ เข้ามาช่วยงานเช่นการไลฟ์สด การใช้วิดีโอหรือเครื่องมือต่างๆ แทนการพบหน้าหรือสัมผัสกัน แบ่งกลุ่มการทำงานเพื่อรักษาระยะห่าง การเข้าทำงานแบบ on site ทั้งหมดพร้อมกันในบริษัทอาจเป็นความเสี่ยงที่มากเกินไป บริษัทสามารถแบ่งพนักงานออกเป็นกลุ่มโดยจัดวันหรือเวลาให้เข้ามาทำงานแบบ on site ไม่พร้อมกัน เพื่อสร้างระยะห่างระหว่างพนักงานให้มากขึ้นและลดความหนาแน่นในองค์กร ซึ่งการทำแบบนี้จะช่วยให้สามารถประสานงานได้ง่ายกว่าการทำงานรูปแบบ Work from home ได้ แต่ยังคงลดความเสี่ยงของการติดโรคได้ด้วย ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเพื่อลดการสัมผัส การทำงานในรูปแบบเก่าเน้นการกระทำเป็นสำคัญซึ่งเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ตลอดเวลาอย่างเช่นการเข้างาน การเดินเอกสาร เป็นต้น ซึ่งกลายเป็นการสร้างความเสี่ยงให้กับร่างกายไปแล้วในปัจจุบัน […]

ก้าวสู่ยุค New Normal การทำงานในยุคโควิด

หลายคนคงได้ยินคำว่า New Normal บ่อยมากทีเดียว เพราะความ New Normal นี้นับว่ายังไม่สิ้นสุดไปเสียทีเดียวเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นยังไม่สิ้นสุดนั่นเอง ซึ่งสำหรับฝ่ายบุคคลหรือ Hr ที่ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายนี้  New Normal ที่ว่าเรียกได้ว่าทำให้การดูแลองค์กรตลอดจนพนักงานท้าทายขึ้นอย่างมากทีเดียว เรามาดูเรื่องที่ New Normal ทำให้องค์กรต้องปรับตัวกัน New Normal ที่องค์กรต้องปรับตัว หน้าที่หนึ่งของ Hr คือการดูแลสิ่งแวดล้อมภายในองค์กรให้เหมาะแก่การทำงานของพนักงานทุกคนหรือในอีกแง่หนึ่งคือการสร้างสิ่งแวดล้อมหรือควบคุมสถานการณ์ให้ทรัพยากรบุคคลสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่ง New Normal ครั้งนี้ได้ให้โจทย์ด้านการดึงศักยภาพของพนักงานภายในองค์กรนั้นต้องเปลี่ยนจากเดิมทั้งในเรื่องรูปแบบการทำงานของพนักงานและในเรื่องรูปแบบการดูแลสิ่งแวดล้อมขององค์กร รูปแบบการทำงาน ก่อนการระบาดของโรคโควิดจะเข้ามาหลายองค์กรก็เริ่มมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานกันบ้างแล้ว เพื่อให้ชีวิตของคนทำงานสามารถ Work life balance กันได้มากขึ้น บางองค์กรปรับลดวันเข้างานที่บริษัทเปลี่ยนเป็นการเข้าออฟฟิศ 4 วันและทำงานที่บ้าน 1 วัน บางองค์กรลดเวลาการทำงานต่อวัน แต่เมื่อมีการระบาด ผู้คนต้องรักษาระยะห่างรูปแบบการทำงานจึงถูกเร่งให้เปลี่ยนอย่างเลี่ยงไม่ได้ เวลาเข้างาน เมื่อรูปแบบการทำงานถูกปรับเปลี่ยนให้มีการรักษาระยะห่าง หลายองค์กรจึงมีการจัดลำดับการเข้างานใหม่หรือลดเวลาการเข้างานที่องค์กรเปลี่ยนเป็นการทำงานที่บ้านซึ่งทำให้เกิด New Normal ขึ้นโดยเวลาการเข้างานต้องยืดหยุ่นมาขึ้น สิ่งที่ตามมาคือความท้าทายของฝ่ายบุคคลว่าจะจัดการนับช่วงเวลาเข้างานอย่างไร และบริหารการทำงานในรูปแบบนี้อย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่ายได้สูงสุด Remote working Remote working […]

อัพเกรดความ Productive ไม่ยาก! แค่เข้าใจและมีตัวช่วย

ในยุคที่ทุกอย่างล้วนแข่งขันกันด้วยเวลาเสียส่วนใหญ่หลายคนจึงต้องการปรับเปลี่ยนให้ตัวเองกลายเป็นคน Productive ซึ่งนับเป็นการปรับเปลี่ยนที่ไม่ง่ายเลยทีเดียวเพราะความ Productive นั้นมีเคล็ดลับบางอย่างที่จะช่วยให้คุณสามารถทำงานได้มากขึ้นและยังมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย ทำความเข้าใจกับการเป็นคน Productive การเป็นคน Productive นั้นหลักสำคัญอยู่ที่การจัดการกับตัวเองซึ่งนับเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากทีเดียว เพราะการบริหารตัวเองให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดนั้นหมายความว่าเราต้องเข้าใจลักษณะนิสัยและความเคยชินของตัวเองทั้งหมดเสียก่อน จากนั้นก็สามารถวางแผนบริหารเวลาในด้านต่างๆ ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตให้สามารถใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด กล่าวอย่างสรุปคือเราต้องจัดการตัวเองให้ได้ก่อนจากนั้นค่อยเริ่มบริหารเวลาก็จะทำให้เราสามารถเดินตามแผนการทำงานที่วางไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว ตัวช่วยและปัจจัยที่จะช่วยให้เกิดความ Productive แน่นอนว่าการจะเป็นคน Productive นั้นต้องมีเคล็ดลับบางอย่างที่ช่วยให้สามารถบริหารสิ่งต่างๆ ได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งตัวช่วยแต่ละอย่างบอกเลยว่าไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนแต่อย่างใด เรามาดูกันดีกว่าว่ามีเทคนิควิธีการอะไรบ้างที่สามารถนำมาเป็นตัวช่วยได้บ้าง สร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะกับการทำงาน การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะกับการทำงานเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากทีเดียว ซึ่งสิ่งแวดล้อมในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการจัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบหรือการอยู่ที่สถานที่เงียบสงบเพื่อให้มีสมาธิ แต่เป็นสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เช่นบางคนชอบการนั่งทำงานที่คาเฟ่ บางคนอาจจะชอบทำงานไปพร้อมกับเสียงเพลง เป็นต้น หรือโดยทั่วไปสามารถนำหลักการ 5ส มาประยุกต์ใช้ได้ง่ายๆ ดังนั้นเพื่อให้เราสามารถทำงานได้อย่าง Productive จึงต้องเรียนรู้นิสัยการทำงานว่าเราอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใดจึงจะทำงานได้ดีมากที่สุด คุณจะพบว่างานที่ทำนั้นออกมาได้ดีกว่าเดิมอย่างแน่นอน วางแผนจัดลำดับความสำคัญ การวางแผนเรียงลำดับความสำคัญคือ หนึ่งในเทคนิคการบริหารเวลาอย่างคน Productive ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้เราทำงานสำคัญออกมาได้ในเวลาที่สมควร โดยมีการแบ่งประเภทงานตามลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนดังนี้ สำคัญและเร่งด่วน งานที่สำคัญเราต้องทำให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด จัดลำดับความสำคัญเป็นอย่างแรก เป็นสิ่งแรกที่เราจะทำ  สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน ลำดับรองลงมาคืองานสำคัญที่เราต้องทำให้เสร็จแต่ไม่ได้เร่งด่วน สามารถจัดไว้ลำดับรองลงมาได้ ซึ่งเราควรให้งานสำคัญส่วนใหญ่เสร็จตั้งแต่ตอนที่งานยังอยู่ในลำดับนี้เพื่อให้งานออกมาได้ดีที่สุด ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน สำหรับงานประเภทนี้เราอาจจะต้องพิจารณาว่าเราต้องเป็นทำงานนี้หรือไม่ หากเป็นงานที่เร่งด่วนจริงสามารถขอให้คนอื่นที่สามารถทำได้และอาจเป็นงานสำคัญของเขาทำได้หรือไม่ โดยส่วนใหญ่งานประเภทนี้จะเข้ามากระทันหัน หากเราสามารถปฏิเสธได้ก็ปฏิเสธ เพราะไม่อย่างนั้นอาจทำให้แผนงานที่เราวางไว้เกิดปัญหาได้ […]

Teamwork คืออะไร? ขอนำเสนอ 7 เทคนิคช่วยพัฒนาการทำงานเป็นทีม

การจะทำให้งานให้สำเร็จมีสองวิธี คือ การทำงานแบบคนเดียวและการทำงานเป็นทีม ถึงแม้จะมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในองค์กรต่างๆ เราล้วนต้องทำงานแบบเป็นทีมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในวันนี้ JOBCAN ขอนำเสนอ 7 เทคนิคที่ช่วยพัฒนาการทำงานเป็นทีมกันค่ะ การทำงานเป็นทีม (Teamwork) คืออะไร การทำงานเป็นทีมก็คือการร่วมมือกันของคนหลายๆ คนเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่ทุกคนจะต้องประสานงานกัน ทีมเวิร์คยังหมายถึงการที่สมาชิกในทีมต่างใช้ความสามารถของตัวเอง ในการออกความคิดเห็นและพัฒนาผลลัพธ์ของทีมอีกด้วย ทีมเวิร์คที่ประสบความสำเร็จจะมีคุณสมบัติดังนี้ สมาชิกในทีมควรมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีทักษะมนุษยสัมพันธ์ที่ดี  มีการสื่อสารแบบเปิดและมอบพลังบวกให้แก่กัน มีการมอบหมายงานที่เหมาะสม ทำตามกฏของทีม รับฟังหัวหน้าทีมและรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง ทำไมทีมเวิร์ค (Teamwork) ที่ดีจึงสำคัญ การมีทีมเวิร์คที่ดีจะส่งผลให้ทำตามเป้าหมายได้สำเร็จและเกิดผลลัพธ์ที่ดี โดยปกติแล้ว คนในทีมล้วนอยากทำหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากไม่อยากให้เกิดข้อผิดพลาดในงาน นอกจากนี้ การทำงานเป็นทีมควรแบ่งหน้าที่ ที่เหมาะสมให้กับแต่ละคน ทำให้เกิดการแบ่งเบาซึ่งกันและกัน นอกจากนี้งานจะเสร็จได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย “เราเป็นหยดน้ำเพียงหนึ่งหยดเมื่ออยู่คนเดียว แต่จะเป็นมหาสมุทรถ้าเรารวมตัวกัน” — Ryunosuke Satoro การทำงานเป็นทีมยังช่วยให้เรามีโอกาสได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากบุคลากรที่มีความสามารถและประสบการณ์เยอะกว่า ซึ่งสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับพนักงานมาใหม่ ในขณะเดียวกัน พนักงานที่อยู่มานานก็สามารถแลกเปลี่ยนไอเดียใหม่ๆ กับคนใหม่ๆได้อีกด้วย การแลกเปลี่ยนและการพูดคุยระหว่างทำงานจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีให้กับคนในทีมและทำให้การทำงานมีบรรยากาศที่ดีมากยิ่งขึ้นไปอีก เทคนิคการพัฒนาการทำงานเป็นทีม 7 ข้อ […]

Soft skill คืออะไร? พบกับ 8 ทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในยุคสมัยนี้

หลายๆ คนอาจจะเคยเห็นคำว่า soft skill ผ่านตากันมาบ้างแล้ว แท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่? แตกต่างจาก hard skill อย่างไร? วันนี้ Jobcan จะมาทำความเข้าใจกับความหมายของสิ่งเหล่านั้น พร้อม 8 ทักษะที่สำคัญต่อการทำงานในยุคสมัยนี้ SOFT SKILL หมายความว่าอย่างไร? Soft skill หรืออาจแปลตรงตัว ว่า ‘ทักษะอ่อน’ แต่แท้จริงแล้ว มันคือชื่อเรียกทักษะทางสังคม หรือทักษะด้านอารมณ์ ที่จะเข้ามาช่วยในเรื่องของการทำงานและมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน หลายคงอาจจะสับสนกับ hard skill ซึ่งเป็น ‘ทักษะแข็ง’ หรือทักษะที่ได้รับมาผ่านการเรียนรู้และฝึกฝน หรือกล่าวได้ว่าเป็นทักษะทางเทคนิค หรือทักษะเฉพาะของสายอาชีพนั้นๆ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักๆ ที่ hr จะใช้รับคนเข้าทำงานในองค์กรของตน เช่น ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ ทักษะด้านการเขียนโปรแกรม ทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล ทักษะทางด้านภาษาต่างประเทศ ทักษะด้านการตลาด ฯลฯ SOFT SKILL มีความสำคัญอย่างไรในการทำงาน ถึงแม้ hard skill จะเป็นอันดับแรกที่ […]

เปลี่ยนงาน HR สู่ยุคดิจิตอล จัดการข้อมูลลงเวลาพนักงานผ่านออนไลน์

ในอนาคตรูปแบบการทำงานอาจมีการเปลี่ยนแปลงให้มีอิสระมากขึ้นและหลากหลายมากขึ้น ดังที่เราได้เห็นกันในปัจจุบันว่าหลายบริษัทเริ่มมีการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น พนักงานสามารถกำหนดวันเวลาการทำงานเองได้หรือการ Work from home ซึ่งทำให้งาน hr อย่างการจัดการข้อมูลลงเวลาการทำงานของพนักงานจำต้องมีความเปลี่ยนแปลงให้ยืดหยุ่นตามไปด้วยจึงเกิดเป็นการลงเวลาออนไลน์ขึ้นมา วันนี้ JOBCAN จึงมาบอกเล่าถึงการลงเวลาออนไลน์จะช่วยให้งาน hr ได้อย่างไรบ้าง โดยอย่างแรกมาทำความเข้าใจกับอุปสรรคเรื่องการลงเวลาบันทึกการเข้า-ออกงานออนไลน์กันก่อนเลย อุปสรรคการเปลี่ยนแปลงงาน hr สู่ออนไลน์ แต่ละรูปแบบการทำงานจะต้องมีข้อดีอันเป็นเอกลักษณ์อยู่แล้วซึ่งสำหรับงาน hr ที่ต้องปรับจากออฟไลน์มาสู่ออนไลน์นั้นจะมีจุดที่ต้องแก้ไขอยู่ 3 ข้อด้วยกัน ได้แก่ 1. การตรวจสอบข้อเท็จจริง การลงเวลาออนไลน์ยังเป็นปัญหาสำหรับงาน hr ที่ระบบหรือเทคโนโลยีที่นำเข้ามาใช้จะต้องสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าพนักงานที่ลงเวลานั้นมีการทำงานจริงหรือไม่ โดยระบบอาจใช้วิธีการยืนยันตัวตนและบันทึกการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเอาไว้เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้เสมอ 2. การตรวจนับเวลาการทำงาน ด้วยการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้นทำให้การทำงานของพนักงานอาจมีเวลาไม่ตรงกันและไม่สามารถกำหนดได้ชัดเจน หลายองค์กรจึงใช้วิธีการทำงานข้อตกลงร่วมกันว่าจะต้องทำงานต่อวันรวมแล้วกี่ชั่วโมงแทน ทำให้ตัวช่วยงาน hr ออนไลน์จะต้องสามารถนับคำนวณเวลาการทำงานได้อัตโนมัติ 3. การอนุมัติ OT และ วันลาพัก งาน hr ที่เกี่ยวข้องกับการลงเวลาของพนักงานยังมีการอนุมัติ OT และวันลาพักซึ่งเมื่อมีการลงเวลาออนไลน์กับเดินเอกสารขอคำอนุมัติเรื่องต่างๆ ก็ควรจะสามารถจัดการได้ในแพลตฟอร์มหรือโปรแกรมตัวเดียวกันไปเลยเพื่อให้สามารถคำนวณเวลาการทำงานได้ง่ายมากขึ้น ประโยชน์ของการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยงาน hr 1. มีตัวเชื่อมระหว่างพนักงานในองค์กรกับ HR การทำงาน hr […]

ปรับการทำงานตามวิถี New Normal ยุคCovid

New normal กลายเป็นคำหนึ่งที่เราจะได้ยินกันอย่างคุ้นหูแต่กลับไม่สามารถรับรู้ได้เลย New normal นี้จะมีการปรับเปลี่ยนสิ้นสุดไปทางใด แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านก็ได้ทำให้เรามองเห้นทิสทางกันมาบ้างไม่มากก็น้อยแล้ว ยิ่งในส่วนของการทำงานที่ต้องคอยปรับให้สามารถเดินไปข้างหน้าให้ได้ด้วยแล้วยิ่งต้องมีแผนมารองรับเพื่อให้รับมือได้ทัน  วันนี้ JOBCAN จึงมานำเสนอการอรับเปลี่ยนวิถีการทำงาน New normal ในยุคโควิดนี้ ระบบการทำงานโดยเฉพาฝ่ายบุคคลควรรับมืออย่างไร มีระบบการบันทึกเวลาเข้า-ออกงานที่สะดวก ไม่ว่าจะเป็นสำหรับบริษัท ฝ่ายบุคคลหรือพนักงานเองการมีระบบบันทึกการเข้า-ออกงานที่สามารถเข้าได้สะดวก ทุกที่ ทุกเวลานับเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากทีเดียวโดยเฉพาะในช่วงที่ต้องปรับตัวอย่าง New normal นี้เพราะอาจมีหลายครั้งที่ต้องทำงานจากต่างสถานที่เพื่อทำงานหรือตรวจสอบการอนุมัติการเข้า-ออกได้อย่างสะดวกจึงเป็นระบบหนึ่งที่บริษัทควรให้ความสำคัญ มีการบันทึกเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นและกำหนดเองได้ หลายบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงเวลาทำงานเพราะเมื่อต้องให้พนักงาน work from home แล้วจะมีตัวแปรเข้ามามากมายอาจไม่สามารถใช้กำหนดเวลาเดิมในการทำงานได้อีกซึ่งนับเป็น New normal อย่งหนึ่งที่พนักงานต้องปรับตัวดังนั้นจึงต้องมีระบบที่สามารถบันทึกเวลาการทำงานยืดหยุ่นและสามารถกำหนดเองได้เพื่อความสะดวกสบายและประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน สามารถขออนุมัติวันลาพักหรือการทำงานล่วงเวลาได้ง่าย แม้จะต้องรับมือกับ New normal อย่างการทำงานที่บ้านก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ต้องใช้วันหยุดแต่หากต้องประสานงานขอวันหยุดกันอย่างยุ่งยากก็อาจสร้างความไม่สะดวกสบายและกระทบกับประสิทธิภาพการทำงานได้ ยิ่งหากเป็นส่งแบบฟอร์มอนุมัติการทำงานล่วงเวลาหรือแบบฟอร์มอื่นๆ ที่สำคัญด้วยแล้ว การที่สามารถส่งฟอร์มขออนุมัติได้สะดวก ไม่กินเวลาการทำงานจึงเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญอย่างมาก มีความปลอดภัยในการรักษาข้อมูลสูง ส่งนงานของฝ่ายบุคคลนั้นมีเอกสารสำคัญมากมายที่ต้องเก็บไว้อย่างดีและเป็นความลับเฉพาะระหว่างพนักงานในองค์กรกับบริษัทเท่านั้นจึงต้องใช้ระบบการบริหารฝ่ายบุคคลที่มีการรักษาข้อมูลให้ปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน ป้องกันปัญหาที่อาจตามภายหลังได้ โดยเฉพาะในยุค New normal ที่ต้องทำงานต่างสถานที่แบบนี้ สามารถยืนยันการเข้า-ออกงานได้ชัดเจน การทำงานที่บ้านหรือ work from home นั้นกลายเป็น New […]

พบกัน HR Trend 2022! เหล่า HR ห้ามพลาด

เข้าสู่ปี 2022 กันแล้วเรามาดูเทรนใหม่มาแรงสำหรับการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ HR ต้องรู้ไว้แน่นอนว่าจะมีทั้งเทรนด์ที่มาแรงต่อเนื่องจากปีที่แล้วและเทรนด์ที่เริ่มมาแรงอย่างเห็นได้ชัดในปีนี้ เพราะโควิดที่สืบเนื่องมาหลายปีทำให้การปรับตัวด้านวิถีการทำงานเริ่มลงตัวกันมากขึ้นแล้ว  วันนี้ JOBCAN จึงได้สรุปเทรนด์น่ารู้สำหรับการทำงานของ HR ในปี 2022 มาให้แล้ว มีอะไรบ้างไปดูกัน รองรับรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น การทำงานในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงให้ยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อรับมือกับการ work from home ที่ทำให้พนักงานมีตัวแปรเข้ามารบกวนการทำงานมากกว่าปกติ การให้พนักงานได้เลือกช่วงเวลาการทำงานที่สะดวกที่สุดเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการทำงานที่พร้อมสร้างงานคุณภาพออกมา นอกจากเรื่องเวลาแล้วยังมีเรื่องของสถานที่ของการทำงานด้วย ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของ HR ที่จะหาวิธีให้พนักงานได้ทำงานในสภาวะที่ดีที่สุด HR ต้องพัฒนาองค์กรผ่าน DATA ที่มีได้ แผนก HR เป็นแผนกที่มีการเก็บ Data เอาไว้เยอะมากและยังเป็นเหล่า Data ที่มีประโยชน์สามารถนำไปใช้วิเคราะห์เพื่อพัฒนาองค์กรให้พัฒนาไปข้างหน้าได้ ดังนั้นความสามารถในการวิเคราะหื Data หรือข้อมูลจึงเป็นหนึ่งในทักษะที่ HR ควรพัฒนาเอาไว้เพื่อนำเสนอแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรต่อไป เพิ่มทักษะให้พนักงานผ่าน Digital Tranformation ในยุคที่ทุกอย่างจะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นหลักอย่างนี้บวกกับการทำงานที่ยืดหยุ่นด้วยแล้วการจัดงานอบรมหรือสัมมนาที่เป็นทางการให้พนักงานมาเข้าร่วมพร้อมกันนับเป็นเรื่องยากมากทีเดียว ดังนั้น HR จึงควรหาช่องทางการพัฒนาทักษะให้แก่พนักงานอย่างเหมาะสมเช่นการแนะนำคอร์สเรียนออนไลน์ เป็นต้น เป็นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนาองค์กรไปข้างหน้าได้อย่างเหมาะกับสถานการณ์ Engagement ระหว่างพนักงานในองค์กรจะน้อยลง การทำงานในปัจจุบันมีการแบ่งแยกแผนกกันอย่างชัดเจนยิ่งกับองค์กรขนาดใหญ่ด้วยแล้วพนักงานส่วนมากมักไม่ได้รู้จักคนนอกแผนกมากนัก ยิ่งเมื่อเปลี่ยนมา work […]

โครงสร้างเงินเดือนสำคัญอย่างไร?

เรื่องของเงินเดือนเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากทั้งกับบริษัทที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนในการทำงานและพนักงานที่ต้องรับค่าตอบแทนที่ทำงานให้ ดังนั้นเงินเดือนหรือค่าตอบแทนนี้จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ทุกองค์กรหรือบริษัทจะต้องมีบรรทัดฐานกำหนดอย่างชัดเจน ต้องเป็นไปอย่างยุติธรรมมากที่สุดด้วย ด้วยเหตุนี้เองทุกบริษัทที่มีลูกจ้างจึงควรจะมีโครงสร้างเงินเดือนเป็นของตัวเองเอาไว้ด้วยวันนี้ JOBCAN จะพาไปรู้จักกับโครงสร้างเงินเดือนกัน ไปดูกันเลย โครงสร้างเงินเดือนคืออะไร โครงสร้างเงินเดือน คือการกำหนดค่าตอบแทนที่องค์กรต้องจ่ายให้กับพนักงาน โดยจะกำหนดค่าตอบแทนต่ำสุดและสูงสุดเอาไว้อย่างชัดเจนตามการประเมินค่าของงานกับตลาดแรงงานเพื่อให้มีเงินเดือนที่สอดคล้องกับความเหมาะสมของสังคม นอกจากนี้โครงสร้างเงินเดือนยังกำหนดอัตราการปรับเงินเดือนเอาไว้ด้วยเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในการจ่ายค่าตอบแทน เหตุผลที่ควรทำโครงสร้างเงินเดือน โครงสร้างเงินเดือนเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ช่วยให้ฝ่ายบริหารสามารถประเมินค่าตอบแทนได้อย่างยุติธรรมตามค่าของงานมากขึ้น ทำให้การประเมินงานเป็นไปอย่างมีระบบและไม่เกิดความเหลื่อมล้ำภายในองค์กรอีกด้วย เรียกว่าเป็นเครื่องมือสามารถป้องกันความเสียหายได้ทั้งสองฝ่ายคือทั้งฝั่งบริษัทและฝั่งพนักงานเอง ประโยชน์ของการทำโครงสร้างเงินเดือน การมีโครงสร้างเงินเดือนสามารถสร้างประโยชน์ได้ทั้งกับองค์กรและพนักงานดังนี้ องค์กรมีโครงสร้างการจ่ายค่าตอบแทนชัดเจน พนักงานได้รับค่าตอบแทนอย่างยุติธรรม การมีโครงสร้างเงินเดือนสามารถยืนยันถึงความยุติธรรมในการจ่ายค่าตอบแทนให้กับพนักงานได้ส่วนหนึ่งแล้ว เพราะมีการกำหนดอัตราการจ่ายและการปรับขึ้น-ลงที่ชัดเจนเอาไว้ตามค่าของงานที่ได้ทำ จึงช่วยลดความขัดแย้งภายในองค์กรได้ด้วย องค์กรประเมินค่าของงานได้ง่ายขึ้น พนักงานมองเห็นทิศทางความก้าวหน้าได้ชัดเจน โครงสร้างเงินเดือน ถูกกำหนดขึ้นจากค่าของงานเป็นหลักทำให้บริษัทสามารถประเมินผลตอบแทนที่ควรจ่ายได้ง่าย ขณะเดียวกันพนักงานก็มองเห็นเส้นทางการพัฒนาตนเองได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ทำให้องค์กรสามารถก้าวไปข้างหน้าได้เร็วมากขึ้น นอกจากนี้การมีโครงสร้างเงินเดือนยังช่วยดึงดูดคนเก่งเข้ามาสนใจทำงานในบริษัทได้ด้วย เพราะเป็นตัวพิสูจน์ว่าองค์กรมีแนวทางพัฒนาที่ชัดเจน ใช้โครงสร้างเงินเดือนเป็นหนึ่งในเครื่องมือการบริหารทรัพยากรบุคคล บริษัทหรือองค์กรขนาดใหญ่นั้นจะต้องมีการบริหารทรัพยากรอย่างคุ้มค่าในทุกด้านไม่เว้นแม้แต่ด้านทรัพยากรฝ่ายบุคคล ซึ่งการมีโครงสร้างเงินเดือนจะช่วยทำให้เห็นทรัพยากรที่ใช้ไปได้อย่างชัดเจน จึงสามารถนำเอาข้อมูลมาพัฒนาเพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุดต่อไปได้ง่าย หากองค์กรไม่มีการทำโครงสร้างเงินเดือนเอาไว้อาจเกิดปัญหาในการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่พนักงานได้ โดยการทำโครงสร้างเงินเดือนนั้นหากเป็นบริษัทหรือองค์กรขนาดเล็กที่มีพนักงานไม่มากนักสามารถทำได้เองไม่ยาก แต่หากเป็นองค์กรหรือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีหลายตำแหน่งหน้าที่สามารถจ้างให้ทำโครงสร้างเงินเดือนของบริษัทได้ โดยที่โครงสร้างเงินเดือนจะเป็นการสร้างขึ้นเพื่อองค์กรหรือบริษัทแห่งใดแห่งหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ Jobcan Payroll ออกสลิป คำนวณภาษี คิดเงินเดือนออนไลน์สนใจระบบ Jobcan ติดต่อ 02-107-1867LINE@ : @jobcan_thFacebook : Jobcan Thailandลงทะเบียนสอบถามข้อมูล : https://bit.ly/3P0dVmg