การบันทึกเวลาการทำงานเป็นเสมือนจุดเริ่มต้นการเข้าทำงานทำให้มีความสำคัญเป็นอย่างมากทีเดียวเพราะเกี่ยวเนื่องถึงการประเมินงาน การคำนวณเงินเดือนและอีกมากมายทำให้ความสำคัญนี้ต้องการความแม่นยำและสามารถพิสูจน์ยืนยันได้อย่างแท้จริง ซึ่งหากบันทึกเวลาการทำงานมีความผิดพลาดอาจทำให้เกิดผลเสียตามมาได้จึงควรได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ วันนี้ JOBCAN จึงมานำเสนอผลเสียที่อาจเกิดขึ้น หากบันทึกเวลาทำงานมีความผิดพลาด แต่อย่างแรกเราต้องรู้ก่อนว่าบันทึกเวลาทำงานนั้นมีประเภทใดบ้าง ประเภทการลงเวลา บันทึกเวลาเริ่มต้นเข้าทำงาน-สิ้นสุดการทำงาน จำนวนชั่วโมงการทำงาน บันทึกเวลาพัก บันทึกเวลาการทำงานล่วงเวลา บันทึกชั่วโมงทำงานเวลาดึก บันทึกชั่วโมงทำงานวันหยุด บันทึกจำนวนวันที่เข้าทำงาน บันทึกจำนวนวันที่ขาดการทำงาน บันทึกจำนวนที่ลาหยุด บันทึกจำนวนวันหยุดที่เข้าทำงาน บันทึกจำนวนเวลาหรือครั้งเมื่อมีการเข้างานก่อนและเข้างานสาย บันทึกจำนวนวันที่เหลือจ่ายและวันที่เหลือ ผลกระทบหากมีการบันทึกเวลาการทำงานที่ไม่ดี หากระบบบันทึกเวลาทำงานมีปัญหาสามารถทำให้เกิดปัญหาได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมเพราะหากบริษัทใช้บันทึกเวลาเป็นหนึ่งในตรวจวัดการทำงาน คำนวณเงินเดือนแล้วความผิดพลาดนี้จะยิ่งส่งผลเสียได้มากขึ้นไปอีก โดยเราได้รวบรวมผลเสียที่อาจเกิดขึ้นมาเป็นตัวอย่างแล้วดังนี้ คำนวณเงินเดือนผิดพลาด การบันทึกเวลาทำงานโดยส่วนใหญ่แล้วจะเอาไว้สำหรับการคำนวณเงินเดือนของพนักงานคนนั้นนั้น ซึ่งเมื่อบันทึกเวลามีความผิดพลาดจะส่งผลให้ไม่สามารถคำนวณเงินเดือนที่ถูกต้องออกมาได้ ดังนั้น ความผิดพลาดนี้จึงสามารถส่งผลเสียได้ทั้งกับพนักงานและบริษัทเองด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นนี้หลายบริษัทจึงเลือกใช้ซอฟท์แวร์บันทึกเวลาที่พนักงานสามารถดูแลบันทึกเวลาการทำงานได้เองทำให้สามารถป้องกันความผิดพลาดได้มากขึ้นเพราะมีการดูแลทั้งจากบริษัทหรือฝ่าย HR และตัวพนักงานเอง ไม่สามารถประเมินวินัยการทำงานได้ตามความจริง บันทึกเวลาการทำงานตามจริงนั้น สามารถใช้เพื่อประเมินวินัยการทำงานซึ่งหลายบริษัทใช้เพื่อเป็นการประเมินมอบสวัสดิการเพิ่มเติมเช่น เบี้ยขยัน หรือการให้รางวัลพนักงานดีเด่นโดยประเมินจากบันทึกเวลาการเข้าทำงานว่ามีการขาด ลา มาสายหรือไม่ แต่หากไม่สามารถประเมินได้ตามจริงแล้วการประเมินรางวัลสวัสดิการเหล่านี้อาจไม่โปร่งใสได้ ยิ่งไปกว่านั้นในการประเมินขึ้นเงินเดือนของหลายบริษัท ยังมีการนำบันทึกเวลาการทำงานมาร่วมประเมินด้วย ทำให้เมื่อไม่มีความผิดพลาดของระบบบันทึกเวลานั้น สร้างผลเสียจนอาจไม่สามารถนำมาร่วมประเมินได้ อาจมีปัญหาเรื่องของกฏหมายแรงงาน เมื่อมีความผิดพลาดในการบันทึกเวลาการทำงานแล้วย่อมส่งผลให้เกิดความผิดพลาดในการคำนวณเงินเดือนและการประเมินการทำงานซึ่งทำให้การจ่ายค่าตอบแทนมีความผิดพลาด การจ่ายเงินไม่สามารถจ่ายตามจริงได้ ทำให้อาจกลายเป็นการละเมิดกฏหมายคุ้มครองแรงงานได้เช่นกันซึ่งมีโทษทั้งจำคุกและปรับเป็นเงินด้วย ซึ่งเป็นความเสียหายของบริษัทเป็นอย่างยิ่ง อาจเกิดความขัดแย้งจากความไม่เท่าเทียมระหว่างพนักงานได้ ความผิดพลาดในการบันทึกเวลาทำงาน นอกจากจะส่งผลต่อการคำนวณเงินเดือนแล้ว ความผิดพลาดนี้ ยังสามารถสร้างความขัดแย้งระหว่างพนักงานได้ด้วยเช่นกัน […]
การได้เข้าทำงานในที่ใหม่ส่วนใหญ่มักมีการตกลงเงินเดือนกันตั้งแต่แรกทำให้อาจไม่ใช่เรื่องยากหรือท้าทายเท่ากับการต่อรองเพื่อขึ้นเงินเดือน เพราะหลายคนอาจไม่รู้ว่าควรจะเริ่มหรือเตรียมตัวอย่างไรให้พร้อมสำหรับการต่อรอง ที่สำคัญจะทำอย่างไรให้สามารถต่อรองได้ในสิ่งที่ต้องการไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนหรือสวัสดิการอื่นๆ ก็ตาม วันนี้ JOBCAN จึงได้รวบรวมเอาเรื่องควรรู้สำหรับการต่อรองเงินเดือนที่คุณสามารถเตรียมการก่อนได้ด้วยตัวเอง โดยทั้ง 5 ข้อนี้จะช่วยให้คุณสามารถต่อรองได้สิ่งที่ต้องการทั้งยังไม่ยากเกินไปด้วย ต้องรู้ก่อนว่าเงินเดือนของเราควรขึ้นเพราะอะไร นี่เป็นคำถามที่เราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อน เพราะมันคือเหตุผลหลักที่เราเตรียมความพร้อมในการต่อรองขึ้นเงินเดือน และยังเป็นคำถามที่ทางบริษัทจะต้องถามอย่างแน่นอน และคำตอบเกี่ยวกับที่มาของตัวเองของนั้นจะต้องเป็นสิ่งที่สามารถจับต้องได้ เช่น ผลงานความสามารถที่สร้างประโยชน์ให้กับบริษัทมากขึ้น หรือผลการอบรมเรียนรู้ที่เราสามารถทำมาพัฒนาต่อยอดกับบริษัทได้ เป็นต้น ดังนั้นสำหรับขั้นแรกในการเตรียมใจความหลักคือเราต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าคุณค่าของตัวเราคืออะไร ยิ่งเราสามารถรู้ได้ชัดเจนอย่างมีหลักฐานอ้างอิงเช่นใบ certificate หรือสถิติตัวเลขรับรองจะยิ่งทำให้เกิดความน่าเชื่อถือในความสามารถของเรามากยิ่งขึ้น ตอบคำถามให้บริษัทได้ว่าเขาจะได้อะไร สิ่งที่เราต้องรู้ต่อมาในการต่อรองเงินเดือนคือประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากการจ่ายต้นทุนในการว่าจ้างเพิ่มเติม เพราะการที่บริษัทว่าจ้างเราเข้ามาก็เพื่อการสร้างประโยชน์และผลกำไร หากว่าการจ่ายต้นทุนเพิ่มเป็นสิ่งที่คุ้มค่าย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธเพราะการว่าจ้างพนักงานใหม่ให้เข้ามาแทนพนักงานที่มีศักยภาพเป็นต้นทุนที่สูงและเสี่ยงมากเช่นกัน ดังนั้นการตอบคำถามนี้จึงเป็นหลักสำคัญในการต่อรองเงินเดือนเลยทีเดียว โดยการเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้นั้นจะต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของเราว่า สามารถสร้างผลประกอบการให้แก่บริษัทได้อย่างไรบ้าง และผลประกอบการนี้สามารถเพิ่มขึ้นอย่างไรได้บ้าง กำหนดกรอบความต้องการอย่างสมเหตุสมผล หลังจากที่เราตอบคำถามสำคัญสองข้อกันไปแล้วก็มาถึงหลักใหญ่ใจความสำคัญอย่างจำนวนเงินที่เราต้องการเพิ่มเติม หรือสวัสดิการที่ต้องการอย่างชัดเจน ว่ามีขีดจำกัดอยู่ที่เท่าใด ทั้งในระดับสูงสุดและต่ำสุดเพื่อให้สามารถต่อรองเงินเดือนได้อย่างชัดเจน โดยกรอบเงินเดือนหรือสวัสดิการที่ต้องการเพิ่มขึ้นนั้นจะขึ้นอยู่กับโครงสร้างเงินเดือนของบริษัทและการอ้างอิงจากตลาดแรงงานในตำแหน่งหน้าที่เดียวกัน ว่ามีผลตอบแทนเป็นอย่างไร โดยการคำนวณนั้นอาจขึ้นอยู่กับต้นทุนค่าใช้จ่ายประจำวัน ต้นทุนการเดินทางสำหรับการทำงานและต้นทุนด้านเวลาและโอกาสต่างๆ ด้วย คิดแผนสำรองเพื่อเตรียมความพร้อม เรียกว่าเป็นการเจรจาต่อรองเงินเดือนย่อมมีโอกาสที่จะถูกปฏิเสธด้วยเช่นกัน การเตรียมแผนสำรองเอาไว้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาที่ล้มเหลว ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการต่อรองเพื่อให้เราได้รู้ตัวเองว่ายังมีทางเลือกอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดขั้นต่ำในการต่อรองหรือเป็นการเปลี่ยนย้ายงาน ก็ควรเตรียมไว้ก่อนเพื่อเพิ่มความมั่นใจ โดยสำหรับใครที่คิดว่าหากเจรจาล้มเหลวไม่ได้สิ่งต้องการ แล้วคิดจะเปลี่ยนย้ายงานควรมีการเตรียมพร้อม เช่นการเตรียมเงินสำรองเพื่อใช้จ่ายในเวลาหางานเอาไว้ก่อน หรืออาจมีการหางานใหม่เตรียมรองรับไว้อยู่แล้วเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ตัวเอง เตรียมจิตใจให้พร้อมสู่การเจรจา หลังจากที่เราเตรียมพร้อมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็เหลือเพียงการเตรียมพร้อมจิตใจให้สามารถเจรจาได้อย่างมั่นใจและเป็นธรรมชาติ ไม่ตื่นเต้นหรือแข็งกร้าวจนดูไม่มั่นใจ […]
สภาพแวดล้อมในการทำงานนับเป็นเรื่องหนึ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของ HR ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างผลงานและหากสภาพแวดล้อมในการทำงานดีพนักงานก็สามารถสร้างงานที่มีประสิทธิภาพให้เกิดขึ้นได้ เพราะการใช้เวลาส่วนใหญ่ของวันอยู่ในที่ทำงานนั้นควรเป็นพื้นที่ที่มีความสุขได้เสมอจึงจะทำให้ต้องการมาทำงานใช้เวลาร่วมกันอยู่ที่ทำงาน วันนี้ JOBCAN จึงมานำเสนอวิธีการสร้างบรรยากาศที่ดีสำหรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน แต่ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าการสร้างบรรยากาศที่ดีนั้นจะให้ประโยชน์อย่างไรได้บ้าง การสร้างบรรยากาศที่ดีนั้นมีประโยชน์อย่างไร บรรยากาศในการทำงานนั้นส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานโดยตรงเลยทีเดียวเพราะสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เหมาะสมจะช่วยให้ความคิดและการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ทำได้ดีมากขึ้น ทั้งยังเป็นหนึ่งในแรงจูงใจที่ช่วยให้พนักงานมีความอยากที่จะมาทำงานด้วย จึงส่งผลให้อัตราการลาออกลดลงและสามารถดึงดูดคนที่มีความสามารถเข้ามาให้ความสนใจต้องการเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรหรือบริษัทได้เช่นกัน วิธีการสร้างบรรยากาศการทำงาน การจะมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายอย่างแน่นอนโดยมีฝ่าย HR เป็นผู้นำหลักในการควบคุมให้อยู่ในขอบเขตที่กำหนดไว้ โดยสามารถสร้างได้ด้วยวิธีดังนี้ จัดแต่งที่ทำงานให้สะอาดและสบายตา การมองเห็นนับเป็นการรับรู้หลักของมนุษย์เลยทีเดียวดังนั้นเมื่อมีการออกแบบ ตกแต่งสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เหมาะสม สะอาดและสบายตามากขึ้นย่อมสร้างความสบายใจในการทำงานได้ด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นการจัดพื้นที่การทำงานหรือควบคุมไม่ให้สถานที่ทำงานรกหรือสกปรกจึงเป็นหนึ่งในโจทย์ที่ HR ต้องหาวิธีทำให้เกิดความต่อเนื่องยั่งยืนให้ได้มากทึ่สุด โดยเริ่มจากความสะอาดเป็นสำคัญเพราะนอกจากจะทำให้มองดูสบายตาแล้วยังถูกสุขลักษณะ นับเป็นการสร้างความปลอดภัยในที่ทำงานอีกด้วย มีพื้นที่ในการพักผ่อนระหว่างการทำงาน ตลอดเวลาเกือบ 10 ชั่วโมงในที่ทำงานนั้นย่อมมีช่วงที่ร่างกายและสมองของพนักงานจะต้องการการพักผ่อนบ้าง เพื่อให้สามารถดึงศักยภาพที่ดีออกมาได้และทำงานได้อย่างมีความสุข ดังนั้นจึงควรจัดสรรพื้นที่พักผ่อนเช่น มุมนั่งเล่น โซนอาหารและของว่างหรือโซนเกมขึ้นมาเพื่อให้พนักงานสามารถผ่อนคลายความเครียดได้โดยไม่ต้องเสียเวลาออกไปที่อื่นให้เสียเวลาการทำงานมากขึ้นไปอีก สร้างความยุติธรรมและมุมมองที่เป็นมิตรต่อการทำงาน มุมมองต่อการทำงานส่งผลอย่างมากต่อผลงานที่พนักงานรับผิดชอบ หากมีมุมมองการทำงานที่ดี อย่างเช่นได้รับความใส่ใจในการปรึกษาเพื่อแก้ปัญหาจากหัวหน้าหรือผู้บริหาร ได้รับการประเมินผลงานที่เป็นไปตามหลักความจริงมากกว่าการประเมินจากชั่วโมงการทำงาน มีการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อให้ทำงานได้ดีมากขึ้น เป็นต้น ซึ่งการกระทำเหล่านี้นั้นสามารถช่วยให้พนักงานเกิดแรงจูงใจในการสร้างผลงานที่ดีและกลายเป็นแรงจูงใจให้พนักงานคนอื่นได้อีกด้วย จึงเกิดเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เหมาะสมกับการทำงานขึ้นมาได้เพราะความยุติธรรมในการประเมินผลงานช่วยให้เกิดมุมมองที่ส่งเสริมการทำงานจะช่วยให้บรรยากาศในที่ทำงานสนุกสนานได้มากขึ้น สร้างกิจกรรมเพื่อความสัมพันธ์ในที่ทำงาน หนึ่งในตัวช่วยที่ดีสำหรับการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานคือการสร้างกิจกรรมเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน หัวหน้าลูกน้องหรือกระทั่งผู้บริหารต่อพนักงานคนอื่นๆ เพราะความสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยการทำงานมีความสุขและประสิทธิภาพมากขึ้นโดยเฉพาะในการทำงานเป็นทีมเพราะสามารถช่วยลดปัญหาในการสื่อสารลงได้มากทีเดียว ที่สำคัญคือความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อร่วมงานเหล่านี้ยังเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พนักงานลังเลในการตัดสินใจลาออกได้อีกด้วย สำรวจสภาพจิตใจของพนักงานอยู่เสมอ แม้ว่าเราจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี บรรยากาศที่ดีต่างๆ แต่พนักงานไม่ได้มีชีวิตอยู่เพียงแค่ในที่ทำงานเท่านั้น ทั้งยังต้องเผชิญกับปัญหาในการทำงานที่บรรยากาศหรือสภาพแวดล้อมไม่อาจช่วยเหลือได้ HR […]
สำหรับเจ้าของกิจการหรือผู้ประกอบการนั้น การจ่ายเงินเดือนเป็นเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นการจัดการบริหารบัญชีทั้งยังเป็นต้นทุนสำคัญที่จะทำให้บริษัทเดินหน้าต่อไปได้ แต่ในการจ่ายเงินเดือนให้แก่พนักงานนั้นจะมีเรื่องราวรายละเอียดที่ต้องศึกษาให้ดีเพื่อให้เป็นรายจ่ายและผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลทั้งยังเป็นการป้องกันปัญหาต่างๆ ได้ด้วย ดังนั้นวันนี้ JOBCAN จึงนำเอาเรื่องต้องรู้สำหรับเจ้าของกิจการหรือผู้ประกอบการมือใหม่ที่ต้องรู้ก่อนการจ่ายเงินเดือนมานำเสนอ มีอะไรบ้างนั้น ไปดูกัน ศึกษากฎหมายแรงงานก่อนเริ่มวางแผนจ่ายเงินเดือน การศึกษากฏหมายแรงงานก่อนการเริ่มต้นแลกเปลี่ยนแรงงานและค่าตอบแทนเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากในการทำเงินเดือนเพราะจะทำให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจสามารถทราบได้ว่าสิ่งที่พนักงานควรได้รับและต้นทุนในการว่าจ้างนั้นมีอะไรบ้าง อย่างเช่น การคำนวณความคุ้มค่าในการว่าจ้าง หรือการจ้างงานเกินเวลาที่กำหนดจะต้องมีการจ่ายผลตอบแทนอย่างไรบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นจะทำให้เจ้าของกิจการได้เรียนรู้ถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่พนักงานควรได้รับด้วย ทำให้สามารถปรับปรุงให้เข้ากับธุรกิจหรือองค์กรเพื่อการดึงดูดพนักงานที่มีความสามารถเข้ามาทำงานได้โดยไม่เป็นการเอาเปรียบทั้งจากฝั่งนายจ้างหรือเจ้าของธุรกิจและลูกจ้างหรือพนักงานได้ ที่สำคัญการศึกษากฏหมายและทำตามที่กรอบกฏหมายกำหนดนี้ยังช่วยป้องกันความเสียหายหรือปัญหาเกี่ยวพนักงานได้อีกด้วย จัดเก็บข้อมูลประวัติของพนักงาน นี่นับเป็นเรื่องพื้นฐานอย่างหนึ่งในการจ้างงานและการทำเงินเดือนเพราะหากเข้ามาเป็นพนักงานแล้วย่อมมีผลประโยชน์บางอย่างร่วมกัน ทำให้การรับรู้ถึงข้อมูลตามกฏหมายที่ถูกต้องเช่นชื่อ นามสกุล อายุ ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน หรือเอกสารทางกฏหมายที่สามารถยืนยันตัวตนได้นับเป็นสิ่งสำคัญในการทำเงินเดือนจ่ายผลตอบแทนเป็นอย่างมาก เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นยังสามารถตามหาได้จากตัวตนที่ได้ให้ไว้ โดยการจัดเก็บประวัติของพนักงานควรทำตั้งแต่มีการว่าจ้างงานในวันแรกและมีการอัปเดทข้อมูลอยู่เสมอหากมีการเปลี่ยนแปลง ศึกษาการคำนวณเงินเดือนให้ครบถ้วน การทำเงินเดือนนี้ฟังดูอาจไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากแต่ความจริงแล้วนอกจากการกำหนดฐานเงินเดือนแล้วยังเกี่ยวข้องกับกฏหมายอีกหลายอย่าง เช่น ค่าใช้จ่ายในด้านสวัสดิการอย่างการนำส่งประกันสังคม เงินสมทบเป็นต้น หรือหากมีสวัสดิการอื่นๆ เช่นการออมเงิน ก็จะต้องทำการคำนวณเข้าไปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีเรื่องของภาษีเงินได้ของพนักงานที่เจ้าของกิจการจะต้องนำส่งให้ตามอัตราที่กฏหมายกำหนดไว้ด้วยเช่นกัน ทำให้ต้องรอบรอบถี่ถ้วนอย่างมากเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดที่อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ จัดเก็บหลักฐานการจ่ายเงินเดือน การจ่ายเงินเดือนนับเป็นหนึ่งในต้นทุนของบริษัทที่ต้องลงบัญชีอย่างชัดเจนและยังเป็นภาษีของกิจการอีกด้วย ดังนั้น จึงต้องมีการจัดเก็บหลักฐานอย่างชัดเจนซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญทั้งสำหรับเจ้าของกิจการและพนักงานเอง ซึ่งหลักฐานเหล่านี้จะต้องเป็นหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจ่ายเมื่อใด อย่างไรและที่สำคัญผู้รับเป็นใคร ซึ่งจะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจต่อไปด้วย หลักฐานการจ่ายเงินเดือนที่ผู้ประกอบการควรเก็บไว้เป็นหลักฐานจะมีตั้งแต่ สลิปเงินเดือนที่ต้องมอบให้กับพนักงานเป็นหลักฐานการคำนวณเงินเดือนในแต่ละเดือน และหลักฐานการโอนเงิน (ในกรณีโอนเงิน) และทะเบียนการจ่ายเงินเดือน หรือหลักฐานอื่นๆ ที่มีการรับรองทางกฏหมายแล้ว โดยเจ้าของกิจการควรเก็บเป็นหลักฐานไว้ตั้งแต่การทำเงินเดือนเมื่อเริ่มกิจการ สร้างข้อตกลงร่วมกันระหว่างพนักงานกับผู้ประกอบการให้ชัดเจน ในการทำเงินเดือนนี้เจ้าของกิจการควรมีการสร้างข้อตกลงที่ชัดเจนร่วมกับพนักงานด้วยเช่นกัน เพราะแม้ว่าจะมีกฏหมายแรงงานกำหนดมาให้แล้ว […]
หลายคนอาจมองว่างานของ HR นั้นเป็นเรื่องง่ายแต่ความจริงแล้วงานของ HR นั้นต้องมีความละเอียดรอบคอบอย่างมากเพราะเป็นเรื่องของผลประโยชน์ไม่ว่าจะของบริษัทหรือของพนักงานก็ตามล้วนอยู่ในความรับผิดชอบของ HR ทั้งสิ้น ทำให้ทักษะ HR จำเป็นอย่างมากและกลายเป็นที่มองหาขององค์กรหรือบริษัทด้วยเช่นกัน ว่าแต่ทักษะ HR ใดบ้างที่ HR ต้องมีอย่างที่เรียกว่าขาดไม่ได้หากต้องแข่งขันและต่อสู้กับตลาดที่มีความเปลี่ยนแปลงรวดเร็วในทุกวันนี้ เรามาดูกันดีกว่าว่า ทักษะ HR ที่ต้องมีนั้นมีอะไรกันบ้าง ทักษะการสื่อสารและการประสานงาน โจทย์ของการสื่อสารในทุกวันนี้เรียกว่ามีความท้าทายมากขึ้นทุกวัน แม้ว่าการสื่อสารจะดูสะดวกสบายและรวดเร็วจนดูคล้ายว่าจะง่ายขึ้นมากแต่ในความเป็นจริงแล้วกลับทำให้ปัญหาเกิดขึ้นได้ง่ายมากขึ้นตามไปด้วยเพราะรูปแบบของการสื่อสารบางอย่างทำให้การสื่อความถูกลดทอนและเปลี่ยนความหมายได้ง่าย เช่นการพิมพ์ประสานงานทางข้อความในแอปแชทต่างๆ ซึ่งไม่อาจได้ยินน้ำเสียง อารมณ์ของผู้สื่อสารเป็นต้น การสื่อสารและการประสานงานเพื่อรับรู้บรรยากาศการทำงานจึงเป็นทักษะ HR หนึ่งที่ HR จะต้องมีติดตัวเพื่อการสื่อสารที่ไม่เพียงจะรวดเร็วแต่ยังครบถ้วนทุกกระบวนความโดยไม่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดที่อาจส่งผลเสียต่อองค์กรได้ ทักษะการบริหาร ทักษะการบริหารเป็นหนึ่งในทักษะจำเป็นของ HR เพราะเป็นฝ่ายที่จะต้องบริหารทั้งบุคลากรในองค์กรและทรัพยากรภายในองค์กรให้คุ้มค่ามากที่สุดในทุกเวลา โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์เศรษฐกิจไม่แน่นอนเช่นนี้การบริหารต้นทุนให้คุ้มค่ามากที่สุดจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่กำลังท้าทายความสามารถและทักษะ HR อย่างยิ่ง นอกจากนี้ทักษะการบริหารของ HR ที่สำคัญยังมีเรื่องของการบริหารเวลาเพื่อให้สามารถสร้างผลงานได้อย่างรวดเร็ว และแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ยิ่งไปกว่านั้นการบริหารทรัพยากรบุคคลให้คุ้มค่าก็เป็นเรื่องท้าทายที่ต้องทำให้ยุติธรรมแต่ขณะเดียวกันก็คุ้มค่ากับบริษัทด้วยเช่นกัน เรียกว่าเป็นการบริหารเพื่อรักษาผลประโยชน์ของทั้งสองทางให้คุ้มค่าที่สุด นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทักษะการวิเคราะห์และการตัดสินใจ การทำงานมักมีปัญหาและอุปสรรคเข้ามาอยู่เสมอทำให้มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแต่ต้องมองปัญหาให้ออกแต่ยังต้องสามารถวิเคราะห์และมองหาวิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดได้อย่างรวดเร็วอีกด้วยเพื่อป้องกันปัญหาอื่นๆ ที่อาจตามมาได้อีก โดยเฉพาะกับงานฝ่าย HR ที่ต้องแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคน ความสัมพันธ์ซึ่งเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างชัดเจน และยังสามารถทำให้เกิดปัญหาต่อเนื่องได้ง่าย ทั้งนี้ทักษะ HR […]
หากมีอะไรที่ช่วยเสริมให้การทำงานของเราราบรื่นได้มากขึ้นก็อย่ารอช้า เพราะเรื่องโชค เรื่องดวงเราจะละเลยไปไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นในการจัดโต๊ะทำงานในทุกที่ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือที่บ้านนั้น เราสามารถเสริมฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานเข้าไปได้โดยจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้างนั้น เราได้รวบรวมไว้ในบทความนี้แล้ว ฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานนั้นเราสามารถนำมาปรับให้เข้ากับสไตล์การตกแต่งหรือสไตล์การทำงานของเราได้เสมอ โดยนำเอาหลักการมีปรับใช้กันได้ ดังนี้ การเลือกรูปทรงของโต๊ะทำงาน สำหรับฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานนั้นเราสามารถเลือกให้เสริมการทำงานได้ต่างกันออกไปตั้งแต่รูปทรงเพื่อให้เหมาะกับรูปแบบในการทำงานของแต่ละคนด้วย โดยจะมีการเสริมดวงการทำงานในแต่ละรูปทรงของโต๊ะดังนี้ ฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานรูปทรงสี่เหลี่ยม ในศาสตร์ของฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานเชื่อว่าโต๊ะรูปทรงสี่เหลี่ยมจะช่วยให้มีสมาธิในการทำงานมากขึ้น เหมาะสำหรับการใช้เป็นโต๊ะทำงานประจำตัวของพนักงานหรือใช้เป็นโต๊ะทำงานที่บ้าน ฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานแบบโต๊ะกลม ในศาสตร์ของฮวงจุ้ยเชื่อว่าโต๊ะทำงานแบบโต๊ะกลมนั้นจะเหมาะกับการใช้ประชุม ระดมความคิด งานสร้างสรรค์เพราะพลังงานจะไหลเวียนอยู่บนโต๊ะได้ดี ทำให้การออกความคิดเห็นร่วมกันนั้นทำได้อย่างราบรื่น จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องทำงานสร้างสรรค์หรือใช้ความคิดอยู่เสมอ ฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานแบบโต๊ะมุมโค้ง สำหรับโต๊ะมุมโค้งในฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานนั้นเชื่อว่าจะช่วยให้คนทำงานสามารถสร้างสมาธิหรือรวบรวมสมาธิในการทำงานได้ดีขึ้นเพราะพลังงานที่วิ่งอยู่จะวิ่งชนโค้งแล้วกลับมาหาคนทำงาน การเลือกสีของโต๊ะทำงาน ฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานสามารถเลือกสีให้เสริมการทำงานได้หลากหลายเรื่องทีเดียวซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการให้เสริมช่วยในเรื่องอะไร เรามาดูกันดีกว่าว่าจะสามารถเสริมในเรื่องอะไรได้บ้าง ฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานสีขาว โต๊ะทำงานสีขาวนั้นนับเป็นสีพื้นฐานที่หลายคนเลือกใช้เพราะความสว่างและจัดแต่งง่าย ซึ่งทางฮวงจุ้ยนั้นสามารถเสริมการทำงานเกี่ยวกับใช้ความคิดยังทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ด้วย ฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานสีสว่าง โต๊ะทำงานสีสว่างเป็นอีกหนึ่งโต๊ะทำงานที่หลายคนมักจะเลือกเพราะความสว่างที่ทำให้ห้องดูกว้างแล้วยังดูไม่จืดจางเกินไปอีกด้วย ซึ่งในทางฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานแล้วสามารถช่วยเสริมในเรื่องการมองเห็น ช่วยให้ร่างกายและสมองผ่อนคลายจากการทำงานได้ด้วย เหมาะสำหรับคนที่มักต้องทำงานใช้ความคิด ฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานสีน้ำตาล สำหรับโต๊ะทำงานสีน้ำตาลซึ่งอาจเป็นโต๊ะทำงานไม้โทนสีต่างๆ ที่ให้อารมณ์คลาสสิกนั้นจะเสริมฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานในเรื่องความน่าเชื่อถือจึงเหมาะสำหรับคนที่ทำงานที่ต้องติดต่อสื่อสารอยู่เสมอ ฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานสีเขียว โต๊ะทำงานสีเขียวนั้นจะเป็นการเสริมฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานในด้านความสมดุลเพราะเป็นสีที่เราเห็นได้จากธรรมชาติ ช่วยให้สบายตา สบายใจมากขึ้นทำให้ร่างกายและจิตใจเกิดสมดุลมากขึ้น ฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานสีเทา สำหรับโต๊ะทำงานสีเทานั้นจะเป็นสีที่ทำให้ห้องดูมีมิติมากขึ้น โดยสีเทานี้จะช่วยเสริมฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ ใครที่ต้องทำงานเกี่ยวกับการใช้ความคิด ออกแบบหรือต้องการความคิดสร้างสรรค์สามารถเลือกโต๊ะทำงานสีเทาได้เลย ฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานสีดำ โต๊ะทำงานสีดำเป็นโต๊ะที่ช่วยทำให้สิ่งของบนโต๊ะโดดเด่นมากขึ้น และในด้านฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานนั้นยังช่วยกระตุ้นความคิดและทำให้มีความรอบคอบในการทำงานมากขึ้นด้วย ตำแหน่งการวางโต๊ะทำงาน ฮวงจุ้ยการจัดห้องทำงานก็สามารถช่วยสนับสนุนการทำงานของคุณไปพร้อมกับฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานได้เช่นกัน โดยตำแหน่งของการวางโต๊ะทำงานนั้นเรียกว่ามีผลอย่างมากแต่อาจเลือกไม่ได้มากนักโดยเฉพาะที่ทำงานหรือคนที่มีพื้นที่จำกัดแต่เราสามารถแก้ไขแก้เคล็ดบางส่วนได้ มาดูรายละเอียดกัน ฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานควรจัดวางไว้ให้เยื้องกับประตู สามารถมองเห็นทางเข้า-ออกได้ […]
ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่หรือบริษัทขนาดเล็กก็ตาม การมีฝ่าย HR คอยพัฒนาและดูแลทรัพยากรบุคคลจะเป็นส่วนช่วยให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่ในบริษัทขนาดเล็กนั้นการจ้างงานฝ่าย HR ให้สามารถดูแลบุคลากรทั้งหมดได้อย่างครอบคลุมทั้งการบันทึกเวลาเข้างาน การประเมินงาน การดูแลเอกสารและการคำนวณเงินเดือนนั้นนับเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูงทีเดียว หลายองค์กรจึงเลือกที่จะจ้าง HR Outsource เข้ามาช่วยดูแลแทน ทำความรู้จักกับ HR Outsource HR Outsource คือ การจ้างบริษัทที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับงานบริหารทรัพยากรฝ่ายบุคคลเข้ามาดูแลบุคลากรภายในองค์กรตามขอบเขตที่ได้ตกลงกันไว้ เช่น จ้างดูแลเฉพาะส่วนการสรรหาบุคลากร จ้างดูแลการคำนวณเงินเดือนหรือเวลาเข้างานเท่านั้น เป็นต้น โดยการจ้างงาน HR Outsource นี้จะมีหลากหลายประเภทให้สามารถเลือกใช้งานได้ตามขอบเขตที่ต้องการ ทั้งยังได้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูแล หลายองค์กรจึงสนใจทางเลือกนี้มากกว่าการจ้างฝ่ายบุคคลเป็นของตนเอง ประโยชน์ของการจ้าง HR Outsource เรามาดูปรธโยชน์ของการจ้าง HR Outsource กันให้ชัดเจนอีกสักครั้งซึ่ง JOBCAN ได้รวบรวมไว้ทั้งหมด 3 ข้อหลัก ดังนี้ ได้การทำงานระดับผู้เชี่ยวชาญ การจ้าง HR Outsource นั้นไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความผิดพลาดในการบริหารงานมากนักเพราะบริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับ HR Outsource มักมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการบริหารงานเป็นอย่างมากอยู่แล้ว จึงทำให้สามารถวางใจในผลงานได้ระดับหนึ่งว่าจะตรงตามความต้องการอย่างแน่นอน สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ สำหรับการจ้าง HR Outsource ในบางบริษัทหรือองค์กรอาจเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กรให้ดีขึ้นเช่นการจ้าง […]
เมื่องานที่ทำมันไม่ใช่ หลายคนก็เริ่มตัดสินที่จะเปลี่ยนงาน มองหางานใหม่เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่จุดที่ตนเองต้องการ แต่กว่าจะได้งานในรูปแบบที่ตรงใจนั้นกลับเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเสียอย่างนั้น ดังนั้นวันนี้ JOBCAN จึงนำเสนอเรื่องราวรายละเอียดที่ต้องรู้ก่อนจะลาออกเพื่อเปลี่ยนงาน เพื่อให้ช่วงเวลาหลังลาออกของคุณไม่ผิดหวังหรือพบปัญหาจนทำให้ได้งานที่ไม่ตรงใจอีกครั้ง จะมีอะไรที่ต้องรู้บ้าง เราไปดูกันเลย เราเปลี่ยนงานเพราะอะไร แม้ความรู้สึกไม่ชอบใจ ไม่อยากทำงานจะชัดเจน แต่เราควรรู้ในแน่ชัดก่อนว่าสาเหตุของการไม่ชอบใจ ไม่อยากทำงาน ต้องการเปลี่ยนงานนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่ เนื่องจากบางครั้งสาเหตุเหล่านั้นสามารถแก้ไขได้โดยการประสานงานกับหัวหน้าหรือฝ่ายบุคคล แต่หากสาเหตุที่เราอยากเปลี่ยนงานนั้นแก้ไขไม่ได้ ให้เราลองลิสต์สาเหตุออกมาให้ชัดเจนก่อนเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อให้ตัวเลือกในการสมัครงานของเรานั้นแคบลง เช่น ต้องการเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่น ต้องการเปลี่ยนสายงาน หรือต้องการเรียนรู้ทักษะบางอย่างที่ที่ทำงานเก่าไม่สามารถสอนได้ เป็นต้น แบบนี้จะทำให้เรามีเป้าหมายในการสมัครงานที่ใหม่ที่ตรงใจมากขึ้น หรือหากเกิดปัญหาจากเพื่อนร่วมงาน วัฒนธรรมองค์กรไม่ตรงใจ ก็สามารถลิสต์เอาไว้ได้เพื่อสอบถามในที่ถัดไป แผนสำรองในการเปลี่ยนงาน การเปลี่ยนงานเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา แต่ระหว่างการใช้เวลานั้นกลับยังต้องใช้เงินอยู่เหมือนเดิม ทำให้คำแนะนำส่วนใหญ่เมื่อต้องการเปลี่ยนงานคือการหางานใหม่สำรองไว้ก่อนเลยเพื่อให้เริ่มงานได้ทันที แต่การเปลี่ยนที่ใหม่ไม่ได้แปลว่าเป็นเรื่องแน่นอนที่เรามีงานรองรับ เพราะบางครั้งที่ใหม่อาจไม่ตรงใจเรา หรือเราไม่ตรงใจเขา และอาจเป็นทั้งสองไม่ตรงใจกันก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้นแล้วก็มีเงินทุนสำรองหรืองานสำรองที่สามารถสร้างเงินได้อย่างงานฟรีแลนซ์ งานพิเศษ เป็นแหล่งให้เงินสำรองไว้ก่อนเพื่อให้เรามีเวลาในการเลือกงานที่ต้องการได้อย่างไม่ร้อนรน รีบเร่งจนต้องบีบให้ตนเองรับงานที่ไม่ต้องการ เงินทุนสำรอง อย่างที่ได้บอกไปว่าการใช้เงินนั้นไม่หยุดตามเวลางาน การมีเงินทุนสำรองอย่างต่ำ 6 เดือนก่อนลาออกเป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญอย่างมากหรือจะให้ดีคือการเตรียมพร้อมไว้สำหรับ 1 ปี เพราะหลังจากการลาออกแล้วชีวิตการทำงานของเราจะนับว่ายังไม่แน่นอนจนกว่าจะเริ่มงานที่ใหม่จนผ่านช่วงทดลองงานไปได้ ซึ่งเท่ากับว่ารายได้ของเราจะยังไม่มั่นคงจนกว่างานที่ใหม่จะตรงใจเรานั่นเอง เป้าหมายสำหรับงานต่อไป ก่อนการลาออกนั้นการคิดถึงการเปลี่ยนงานอย่างชัดเจนที่สุดเป็นเรื่องสำคัญมาก เราควรมีรายละเอียดอย่างที่สามารถเขียนหรือพูดออกมาได้เลยว่างานต่อไปของเราจะต้องเป็นอย่างไรบ้าง มีข้อกำหนดตรงไหนที่จะต้องมีเพื่อให้ตรงกับไลฟ์สไตล์และการทำงานที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเนื้องานหรือวัฒนธรรมภายในองค์กร […]
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีหลายองค์กรที่ต้องเผชิญกับปัญหาการจัดการทรัพยากรบุคคล หรือพนักงาน เมื่อเข้าสู่ภาวะวิกฤต COVID-19 เมื่อพนักงานส่วนใหญ่ต้อง lockdown หรือหยุดงาน อาทิ การจัดการปัญหาเรื่องเอกสาร ปัญหาการดำเนินการล่าช้า ฯลฯ หากองค์กรของคุณกำลังมีปัญหาเหล่านี้ ทาง JOBCAN ขอเชิญชวนให้เข้าร่วมการสัมมนาในหัวข้อ “ปรับตัวเข้าสู่ยุค Digital เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ด้วยระบบ Workflow” ซึ่งการสัมมนา hr จะถูกจัดขึ้นในวันเวลาและช่องทางดังกล่าว วัน : พุธ 18 พฤษภาคม 2565 เวลา : 14:00-15:00 PM ช่องทาง : ผ่าน Google Meet*โดยจะส่งลิงค์ตามไปให้หลังจากท่านลงทะเบียนเรียบร้อย ค่าใช้จ่าย : ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย หัวข้อที่จะบรรยาย มีดังนี้ การทำงานในยุค New Normal ทักษะที่จำเป็นต่อองค์กรในยุค New Normal เทคโนโลยี Workflow คืออะไร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างไร วิธีใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด […]
ภายในองค์กรมักจะต้องมีการอนุมัติเอกสารมากมายเพื่อให้งานสามารถเดินหน้าไปได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพียงแต่ในช่วงเวลาของการเดินเอกสารนั้นเป็นช่วงเวลาที่นับว่าใช้ทรัพยากรทั้งเวลา บุคคลและยังมีต้นทุนของอุปกรณ์เครื่องใช้อย่างกระดาษ หมึกพิมพ์และอื่นๆ อีกด้วย ยิ่งในช่วงเวลาที่มีโรคระบาดอย่างโควิด-19 ด้วยแล้วเรียกว่าต้นทุนของการอนุมัติเอกสารออฟไลน์นั้นเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เรามาดูกันว่าปัญหาในการอนุมัติเอกสารแบบเก่านั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง ปัญหาในการอนุมัติเอกสาร รูปแบบของการอนุมัติเอกสารแบบเก่าคือการพิมพ์ลงกระดาษและใช้วิธีการอนุมัติโดยปากกา สิ่งที่น่าอุ่นใจได้คือการอนุมัตินี้ยากต่อการปลอมแปลงระดับหนึ่ง แต่ในทางกลับกันก็ยากต่อการดำเนินการและรักษาด้วยเช่นกัน เรามาดูปัญหา 3 ข้อที่เห็นได้ชัดกันเลย ระยะเวลาในการดำเนินการ การอนุมัติเอกสารแบบออฟไลน์นั้นจะต้องได้พบตัวผู้อนุมัติเท่านั้นจึงจะได้รับการอนุมัติและนำไปดำเนินการต่อได้ซึ่งในช่วงเวลาที่ทุกอย่างต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วฉับไวนั้น วิธีการนี้ย่อมช้าเกินไป หากมีการ Work at home จะยิ่งลำบากในการส่งต่อเอกสารมากขึ้นไปอีกส่งผลให้การทำงานอาจล่าช้าออกไป การติดต่อสื่อสาร แม้ว่าการติดต่อสื่อสารในยุคปัจจุบันนี้นับว่าสะดวกขึ้นอย่างมากแต่สำหรับการส่งต่อเอกสารที่ต้องได้รับอนุมัตินั้นยังมีอุปสรรคอยู่บ้างเพราะหากต้องการความรวดเร็วต้นทุนค่าใช้จ่ายก็จะสูงมากแต่หากต้องการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายสิ่งที่ต้องแลกมาก็คือเวลาในการเดินเอกสารที่มากขึ้น การสัมผัสใกล้ชิด การเว้นระยะห่างระหว่างกันในช่วงเวลานี้นั้นหมายถึงการลดความเสี่ยงทางสุขภาพในระยะยาว แต่กับการอนุมัติเอกสารซึ่งเป็นกระดาษต้องมีการสัมผัสพื้นผิวบนวัสดุเดียวกันทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะสัมผัสกับเชื้อโรคได้มากขึ้น นับเป็นการเพิ่มความเสี่ยงและเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูงมากทีเดียว ตัวช่วยดีๆ อย่าง Jobcan Workflow สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไรได้บ้าง การเดินอนุมัติเอกสารในช่วงเวลานี้อาจเป็นความยุ่งยากอย่างหนึ่งที่ HR ต้องแก้ไขอย่างรวดเร็วเพื่อการทำงานในช่วงเวลาที่โควิด-19 ยังระบาดอยู่นี้ เรามาดูประโยชน์ที่ตัวช่วยดีๆ อย่าง Jobcan Workflow สามารถช่วยคุณได้กัน ทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา Jobcan Workflow เป็นระบบการอนุมัติเอกสารที่อยู่บน Cloud ทำให้สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลาไม่ว่าจะทำงานอยู่ที่ใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่บ้านหรือการทำงานนอกสถานที่ก็สามารถเข้าถึงเอกสารที่ต้องอนุมัติได้เสมอ ไม่ต้องรอระบบหรือสถานที่แต่อย่างใด ทำให้ระยะเวลาในการดำเนินการอนุมัติเอกสารสั้นลงได้อย่างมากทีเดียว หลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการสัมผัสสิ่งของร่วมกัน เชื้อไวรัสเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นและควบคุมไม่ได้ทำให้ความเสี่ยงในการติดโรคสามารถเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ที่เราเข้าใกล้หรือสัมผัสกับสิ่งของร่วมกับผู้อื่น […]
องค์กรหรือบริษัทหลายแห่งมีความจำเป็นอย่างมากในการให้บริการหรือดูแลการทำงานตลอด 24 ชั่วโมงทำให้การเข้างานตามปกตินั้นไม่สามารถใช้ได้กับการทำงานในรูปแบบนี้ จึงมีการเข้างานในรูปแบบกะเกิดขึ้นเพื่อให้บริษัทสามารถก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น แต่การทำงานรูปแบบกะยังมีรายละเอียดและข้อควรระวังในการบริหารบุคคลมากกว่านั้น วันนี้ JOBCAN จึงได้รวบรวมเอาการทำงานรูปแบบกะมานำเสนอแล้ว ไปดูกันเลย Shift Work หรือการทำงานเป็นกะ คือ? การทำงานเป็นกะหรือ Shift Work นั้นคือการเข้างานเป็นรอบเวลา เพื่อสลับกันดูแลรับผิดชอบงานอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมงหรือเรียกได้ว่าตลอดเวลานั่นเอง ซึ่งในทางกฎหมายแรงงานได้กำหนดเอาไว้ว่าลูกจ้างจะมีเวลาทำงานต่อวันไม่เกิน 8 ชั่วโมงโดยไม่รวมเวลาพัก ทำให้การทำงานเป็นกะโดยส่วนมากมักมีกำหนดเวลาต่อรอบต่อคนไม่เกิน 8-9 ชั่วโมง หมุนเวียนกันไป โดยรูปแบบของการทำงานเป็นกะนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ทางนี้เลย รูปแบบของการทำงานเป็นกะ การทำงานเป็นกะยังมีรูปแบบที่ต่างกันออกไปตามแต่ละองค์กรจะกำหนดขึ้นเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยจะมีการแบ่งรูปแบบของการทำงานเป็นกะได้ดังนี้ ระบบการทำงานเป็นกะแบบถาวร เป็นการกำหนดเวลาการทำงานให้รับผิดชอบแบบถาวร ไม่เปลี่ยนรอบเวลา เช่นการเข้าทำงานกะกลางคืน เป็นต้น โดยระบบการทำงานเป็นกะแบบถาวรนี้จะช่วยให้ร่างกายของพนักงานสามารถคุ้นชินกับรอบเวลาได้ง่าย แต่ก็อาจส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ ได้เช่นกัน ระบบการทำงานเป็นกะแบบหมุนเวียนเร็ว เป็นการหมุนเวียนรอบเวลาการทำงานไปเรื่อยๆ ทำให้พนักงานแต่ละคนอาจได้รอบทำงานรับผิดชอบที่ต่างกันออกไปเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ ได้อย่างสมดุลมากขึ้น แต่อาจส่งผลเสียต่อการปรับเวลาของร่างกายได้ ระบบการทำงานเป็นกะแบบหมุนเวียนช้า เป็นการปรับการหมุนเวียนรอบเวลาการทำงานเป็นกะให้ช้าลง เช่นการเปลี่ยนกะทำงานทุกไตรมาสหรือครึ่งปี ซึ่งนับเป็นการให้เวลาร่างกายพนักงานได้ปรับความคุ้นชินกับช่วงเวลาทำงาน และยังรักษาความต่อเนื่องของการทำงานได้ด้วย ข้อควรระวังสำหรับการทำงานเป็นกะ เราอาจได้เห็นข้อควรระวังบางอย่างของการทำงานเป็นกะกันไปบ้างแล้ว ซึ่งปัญหาเหล่านี้นั้นเป็นหนึ่งในงานที่ HR จะต้องคอยมองหาวิธีการแก้ไขให้เหมาะสมกับรูปแบบการทำงานเพื่อให้รูปแบบการทำงานอย่างต่อเนื่องนี้ดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพให้ผลลัพธ์ที่ต้องการทั้งกับพนักงานและองค์กรด้วยเช่นกัน […]
ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญกับชีวิตประจำวันมากมายโดยเฉพาะกับการทำงานในด้านต่างๆ โดยเฉพาะกับงานระบบอย่างงาน HR ที่มีความเป็นระบบทั้งยังเป็นงานสำคัญที่ต้องทำทุกเดือนอีกด้วย งานที่สำคัญและเป็นระบบนี้จึงสามารถสร้างตัวช่วยอย่างการใช้เทคโนโลยีเข้ามาทำให้เกิดประโยชน์มากมาย หรือเรียกรวมๆ ว่า hr tech ดังนั้นจึงมีการสร้าง HRIS ขึ้นมา เรามาทำความรู้จักกับ HRIS กันเลย HRIS คือ HRIS ย่อมาจาก Human Resource Information System เป็นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้านทรัพยากรบุคคล เป็นระบบที่สร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนงานของ HR โดยเฉพาะไม่ว่าจะเป็นระบบการบันทึกเวลาการทำงาน การวางแผนโครงสร้างบุคคลในองค์กร การเดินเอกสาร การสร้างเอกสารอนุมัติต่างๆ เป็นต้น เรียกได้ว่า HRIS นี้มีความสำคัญกับบริษัทอย่างมากทีเดียว เพราะส่วนใหญ่เป็นงานสำคัญที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการสามารถใช้งาน HRIS ที่ให้ความสะดวกมากกว่าได้ทันที HRIS ที่ดีของแต่ละองค์กรนั้นจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละองค์กร ซึ่งหากเลือกได้อย่างเหมาะสมจะสามารถช่วยให้องค์กรก้าวสู่เป้าหมายได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพอย่างมากทีเดียว เรามาดูประโยชน์ของ HRIS กันให้ชัดเจนกันดีกว่า ประโยชน์ของ HRIS HRIS เป็นระบบสารสนเทศด้านทรัพยากรบุคคลที่มีประโยชน์อย่างมากในการใช้งานในองค์กร ซึ่งเราได้ยกมาเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน 5 ข้อด้วยกันดังนี้ ระบบสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนงานของ HR งานของ HR คือการบริหารดูแลทรัพยากรภายในองค์กรไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรอย่างกระดาษ […]