เรื่องของเงินเดือนนับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นองค์กรหรือพนักงานเองก็ตาม เพราะการทำงานมีเงินเดือนเป็นผลตอบแทนหลักทำให้ทุกฝ่ายต่างให้ความสำคัญกับการกำหนดเงินเดือน ทำให้การรับรองเงินเดือนต้องมีการออกเป็นลายลักษณ์อักษรทั้งยังถือเป็นเอกสารสำคัญสำหรับการนำไปใช้ทำธุรกรรมและการสมัครงานที่ใหม่ เรียกกันว่า หนังสือรับรองเงินเดือน ซึ่งจะมีข้อแตกต่างจากสลิปเงินเดือน วันนี้ JOBCAN จึงมานำเสนอความสำคัญของหนังสือรับรองเงินเดือน ว่าเป็นอย่างไรและมีอะไรที่เราควรรู้บ้าง หนังสือรับรองเงินเดือนคืออะไร หนังสือรับรองเงินเดือน หรือ Salary Certificate เป็นเอกสารสำคัญที่องค์กรจะออกให้แก่พนักงานโดยต้องเป็นฝ่ายบุคคลหรือเจ้าของกิจการออกเอกสารให้เท่านั้น โดยวัตถุประสงค์หลักในการออกหนังสือรับรองเงินเดือนคือการรับรองค่าตอบแทนในการจ้างงานต่อบุคคลนั้นๆ ในหนังสือรับรองเงินเดือนจะปรากฎข้อมูลอะไรบ้าง ในหนังสือรับรองเงินเดือนต่างจากสลิปเงินเดือนที่สรุปรายได้สุทธิในแต่ละเดือน ซึ่งอาจจะไม่เท่ากันเพราะมีการหักภาษีหรือมีค่าล่วงเวลาปรากฎได้ โดยหนังสือรับรองเงินเดือนจะต้องปรากฎข้อมูลดังต่อไปนี้ ระบุเอกสารเป็น หนังสือรับรองเงินเดือน อย่างชัดเจน ชื่อ-นามสกุลของพนักงาน ชื่อองค์กร ตำแหน่งงาน วัน/เดือน/ปี ที่เริ่มทำงานถึงวันที่ออกเอกสารหนังสือรับรองเงินเดือน วันที่ออกเอกสารหนังสือรับรองเงินเดือน อัตราเงินเดือนโดยไม่รวมผลตอบแทนอื่น วัตถุประสงค์ในการออกเอกสาร ชื่อผู้ออกเอกสาร ตราประทับขององค์กร ข้อควรรู้เกี่ยวกับหนังสือรับรองเงินเดือน หนังสือรับรองเงินเดือนถือเป็นเอกสารสำคัญใบหนึ่ง โดยมีข้อควรรู้ดังนี้ หนังสือรับรองเงินเดือนจะออกโดยองค์กรเท่านั้น เนื่องจากหนังสือรับรองเงินเดือนเป็นเอกสารสำคัญที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากมายจึงต้องมีการรับรองจากองค์กรเท่านั้น โดยเจ้าของกิจการหรือนายจ้างที่มีอำนาจสูงจะเป็นผู้มอบอำนาจให้กับฝ่ายบุคคลและมีการเซ็นรับรองเอกสารโดยเจ้าของกิจการหรือนายจ้างรับรู้ด้วยจึงจะสามารถนำไปใช้ได้จริง เจ้าของหนังสือรับรองเงินเดือนมีสิทธิ์จะไม่เปิดเผย เมื่อมีการสัมภาษณ์งานที่ใหม่ฝ่ายบุคคลขององค์กรใหม่อาจมีการเรียกขอหนังสือรับรองเงินเดือนเพื่อทำการประเมินผลตอบแทนให้กับพนักงาน ซึ่งเรามีสิทธิที่จะปฏิเสธการให้ดูได้เช่นกันหากไม่สะดวกเพราะหากยังไม่สิ้นสุดการทำงานจากองค์กรเดิม ฝ่ายบุคคลขององค์กรเดิมก็สามารถปฏิเสธการออกหนังสือรับรองเงินเดือนให้กับพนักงานได้ หนังสือรับรองเงินเดือนมีอายุการใช้งาน เมื่อองค์กรมีการออกหนังสือรับรองเงินเดือนให้กับพนักงานแล้วจะมีอายุการใช้งานกำหนดตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานได้ดังนี้ หนังสือรับรองเงินเดือนเพื่อการขอสินเชื่อจะใช้งานได้ 30 วัน หนังสือรับรองเงินเดือนเพื่อการใช้งานเกี่ยวกับราชการ ใช้งานได้ 90 วัน หนังสือรับรองเงินเดือนเพื่อขอวีซ่า ใช้งานได้ […]
เชื่อว่าหลายองค์กรย่อมต้องการให้พนักงานใหม่เกิดความประทับใจในองค์กรตั้งแต่วันแรกที่ได้เข้าทำงาน และเพื่อเป็นการเรียนรู้บรรยากาศวัฒนธรรมองค์กร โดยหวังว่าจะสามารถสร้างความสัมพันธ์และความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งเพราะต้องบอกเลยว่าไม่ว่าจะองค์กรใดก็ตามย่อมไม่อยากเสียเวลารับคนเข้ามาในเวลาสั้นๆ เพื่อให้เขาจากไป หลายองค์กรจึงมีการจัด On-boarding ขึ้นนั่นเอง เรามาทำรวามรู้จักกับการทำ On-boarding กัน On-boarding คืออะไร On-boarding คือการจัดโปรแกรมหรือกิจกรรมที่จะช่วยพัฒนาและอบรมพนักงานใหม่ให้รู้จักคุ้นเคยกับองค์กรมากขึ้น สามารถปรับตัวให้เข้าการทำงานและวัฒนธรรมขององค์กรได้ทำให้สามารถเข้าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรได้ง่ายมากขึ้น หากกล่าวถึงการทำโปรแกรมต้อนรับพนักงานใหม่แล้วหลายคนอาจนึกถึงการทำปฐมนิเทศ (Orientation) วันแรกของการทำงาน ที่จะมีการแนะแนวการทำงานและจัดการเอกสาร แต่การทำ On-boarding นั้นไม่เหมือนกัน เพราะ On-boarding นั้นไม่ได้ทำเฉพาะตอนที่รับพนักงานใหม่เข้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยเหลือให้พนักงานสามารถปรับตัวได้ในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าขึ้นอยู่กับแผนของโปรแกรมในแต่ละองค์กรจะกำหนด ข้อดีของการทำ On-boarding การทำ On-boarding ให้กับพนักงานใหม่โดยส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมระยะยาวองค์กรจึงคาดหวังผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าอย่างแน่นอน มีอะไรบ้าง ไปดูกัน ช่วยให้พนักงานใหม่เข้าใจตำแหน่งและหน้าที่การทำงานของตนเอง การเข้าเป็นพนักงานใหม่ในองค์กรไม่ว่าจะขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กก็ตาม หากสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเป็นส่วนใดขององค์กรและงานที่ได้รับมอบหมายนั้นมีส่วนช่วยเสริมความสำเร็จให้กับองค์กรได้อย่างไรบ้าง จะทำให้เข้าใจการทำงานในภาพรวมได้ดีขึ้นและรับรู้จุดประสงค์ของหน้าที่การทำงานได้อย่างชัดเจน ช่วยให้พนักงานสร้างความสัมพันธ์ต่อองค์กรได้ง่าย การทำ On-boarding ให้กับพนักงานใหม่เพื่อให้รู้จักองค์กรย่อมทำให้พนักงานได้สร้างความสัมพันธ์ท้งต่อองค์กร หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงานและยังรู้สึกผูกพันธ์กับการก้าวไปสู่เป้าหมายพร้อมกับองค์กรด้วย เมื่อพนักงานใหม่รู้สึกผูกพันกับองค์กรมากขึ้นจะทำให้เกิดความจงรักภักดี ปรารถนาดีที่จะนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จ ช่วยให้พนักงานเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรได้ง่ายขึ้น การปรับตัวของพนักงานใหม่เป็นเรื่องที่ท้าทายมากทีเดียวโดยเฉพาะพนักงานใหม่ที่เคยทำงานมาก่อน คุ้นเคยกับวัฒนธรรมการทำงานของที่อื่นมาก่อนซึ่งอาจทำให้การปรับตัวเพื่อให้เข้ากับองค์กรทำได้ยากขึ้น ดังนั้นการจัดทำโปรแกรม On-boarding จะช่วยให้พนักงานใหม่สามารถเข้าใจรูปแบบของวัฒนธรรมในองค์กรได้ชัดเจนมากขึ้น ตัวอย่างการทำ On-boarding ที่ได้รับความนิยม เรากล่าวถึงประโยชน์ของการจัดทำโปรแกรม […]
การดูแลทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์กรให้อยู่ด้วยกันไปนานๆ นั้นนับเป็นสิ่งท้าทายสำหรับองค์กร โดยเฉพาะกับการรักษาบุคลากรที่มีความสามารถด้วยแล้วยิ่งเป็นเรื่องยากทีเดียว เชื่อว่าแต่ละองค์กรย่อมหาวิธีการรักาาพนักงานที่มีความสามารถเหล่านี้เอาไว้ วันนี้ JOBCAN จึงนำเอาเคล็ดลับเกี่ยวกับการทำให้พนักงานในองค์กรอยู่กับเราให้ได้นานขึ้นมาฝาก นั่นก็คือ Employee engagement ทำความรู้จักกับ Employee Engagement Employee engagement คือการสร้างความมีส่วนร่วมของพนักงานในองค์กร หรือก็คือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับพนักงานให้มีความผูกพันต่อกัน ซึ่งความผูกพันนี้จะทำให้พนักงานต้องการมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์กรไปข้างหน้าตามเป้าหมายที่วางไว้ และความรู้สึกผูกพันนี้จะเพิ่มขึ้นจนพนักงานรู้สึกถึงการเป็นเจ้าของร่วมเกิดเป็นความจงรักภักดีตามมาในที่สุด วิธีสร้าง Employee Engagement การสร้าง Employee engagement นั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาค่อยๆ สร้างความผูกพันผ่านการมีส่วนร่วมแต่ว่าเราควรสร้างการมีส่วนร่วมอย่างไร ต้องผ่านปัจจัยใดบ้างจึงจะทำให้เกิด Employee engagement ขึ้นได้ เรามาดูกัน สร้างโอกาสผูกมิตรกับเพื่อนร่วมงาน ความสัมพันธ์ต่อเพื่อนร่วมงานนับเป็นการสร้าง Employee engagement วิธีหนึ่งที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจลาออกของพนักงาน ดังนั้นหากเป็นไปได้ควรสร้างโอกาสให้พนักงานได้ผูกมิตรต่อกัน เพื่อเปิดโอกาสการสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ไม่ว่าจะเป็นในแผนกเดียวกันหรือต่างแผนกก็ตาม การมีเพื่อนร่วมงานที่เข้ากันได้ดีจะช่วยการทำงานสนุกมากขึ้น และยังช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อการทำงานอีกด้วย การมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์กร การได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาอะไรบางอย่างย่อมทำให้เกิดความรู้สึกถึงการเป็นเจ้าของเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรได้ดีอย่างมาก จึงเป็นหนึ่งในวิธีการสร้าง Employee engagement ซึ่งการมีส่วนร่วมนี้อาจเป็นการออกความคิดเห็น วางเป้าหมายในแผนงานหรือการจัดกิจกรรมที่ให้พนักงานออกมามีส่วนร่วมไปด้วยกัน เมื่อได้เห็นความก้าวหน้าขององค์กรย่อมเกิดเป็น Employee engagement ได้ไม่ยาก ผลตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสม การให้ผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลกับงานที่ได้รับมอบหมายนับเป็นวิธีการสร้าง […]
ในตอนนี้โลกของการทำงานไม่ได้มีแค่คนรุ่นเก่าอีกต่อไป.. เมื่อในยุคนี้เด็ก Gen Z หลายๆ คนได้เข้ามาสู่โลกของการทำงานในฐานะ First Jobber ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่องค์กรต่างๆ จะต้องทำความเข้าใจว่าพวกเขาเหล่านั้นมีแนวคิดอย่างไรและให้ความสำคัญกับอะไร รวมถึงอาจมีการปรับเปลี่ยนบางอย่าง เพื่อที่จะดึงดูดเด็กรุ่นใหม่ที่มีความสามารถเข้ามาทำงานด้วยกัน เรามาทำความรู้จักกับช่วงอายุในแต่ละ generation กันก่อน เราจะเห็นได้ว่า Gen Z จะมีอายุระหว่าง 10-25 ในขณะนี้ ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาของการเรียนจบและเริ่มต้นทำงาน ทำธุรกิจของตัวเอง ในขณะเจนใกล้เคียงคือ Millenials หรือ Gen Y อยู่ระหว่าง 26-41 ปีเป็นประชากรส่วนใหญ่ในองค์กรที่อยู่มาก่อนหน้า มาดูกันว่าคนรุ่นใหม่มีอุปนิสัยและแนวคิดเกี่ยวกับการทำงานอย่างไร 5 คุณสมบัติของเด็ก Gen Z 1. การเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี เด็ก Gen z เติบโตมากับอุปกรณ์ดิจิตอลตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ทำให้มีความเชี่ยวชาญและความคล่องแคล่วในการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว มีการใช้เครื่องมือต่างๆเข้าช่วยจัดการงานที่ตัวเองได้รับมอบหมายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ 2. ให้คุณค่ากับงานที่ตัวเองทำ งานที่ Gen z เลือกทำจะไม่ใช่แค่งานที่ทำผ่านๆ เพื่อเลี้ยงชีพเพียงอย่างเดียว แต่มีแนวโน้มที่จะเลือกงานที่จะสามารถเติมเต็มความสุขและคุณค่าของชีวิต […]
การคิดเงินเดือนเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่ต้องคำนวณโดยใช้บันทึกการเข้างานเป็นตัวแปรหลักซึ่งนับเป็นงานที่ค่อนข้างกินเวลาและมีโอกาสเกิดความผิดพลาดสูงขึ้นมาก ทั้งที่เราอยู่ในช่วงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานที่ฝ่ายบุคคลต้องรับมืออยู่ด้วยเช่นกัน วันนี้ JOBCAN จึงมานำเสนอหนึ่งใน Jobcan Series นั่นคือโปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ที่ช่วยคิดคำนวณเงินเดือนได้อย่างแม่นยำ มาดูกันว่า Jobcan Payroll หรือโปรแกรมเงินเดือนออนไลน์นี้มีข้อดึหรือจุดเด่นที่น่าสนใจอย่างไรบ้าง คำนวณเงินเดือนจากบันทึกเวลาการทำงานโดยอัตโนมัติ สิ่งสำคัญในการคำนวณเงินเดือนคือช่วงเวลาการทำงานโดยโปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ Jobcan Payroll สามารถตั้งเวลาวันที่จะเริ่มคำนวณเงินเดือนได้ ไม่ว่าจะเป็นวันที่เท่าไหร่ของเดือนก็ตาม และยังตั้งค่าให้มีการคำนวณแบบรายวันสำหรับพนักงานรายวัน หรือการนับเป็นชั่วโมงสำหรับพนักงานพาร์ทไทม์และแบบรายเดือนสำหรับพนักงานประจำได้เช่นกัน คำนวณภาษีและภาษีหัก ณ ที่จ่าย ความซับซ้อนของเงินเดือนอย่างการคำนวณภาษีและการหักภาษี ณ ที่จ่าย ที่มีรายละเอียดต่างกันในแต่ละปีนั้น โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ Jobcan Payroll ก็มีอัพเดทให้ด้วยเช่นกัน โดยสามารถตั้งค่าและจัดการได้ตามประเภทของพนักงาน นับว่าช่วยให้ความผิดพลาดของการคำนวณเงินเดือนลดน้อยลงได้ สามารถ import ไฟล์จากโปรแกรมบันทึกเวลาการทำงานได้ การคำนวณเงินเดือนโดยส่วนใหญ่จะคำนวณจากรายได้ต่อชั่วโมงคูณเวลาการเข้างาน ซึ่งรายได้นั้นนับเป็นสิ่งแน่นอนในแต่ละเดือนแต่ที่ไม่แน่นอนคือจำนวนเวลาการเข้างาน ซึ่ง โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ Jobcan Payroll ก็สามารถรับเอาไฟล์บันทึกเวลาการทำงานของพนักงานในองค์กรมาคำนวณเงินเดือนได้ ไม่จำเป็นต้องคีย์ข้อมูลใหม่เพื่อคำนวณให้เสียเวลา มีการรองรับได้ถึง 3 ภาษา เพื่อรองรับการทำงานหลากหลายวัฒนธรรมในองค์กรเดียวโดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่าง Expat ชาวจีน ญี่ปุ่นสามารถใช้งานโปรแกรมเงินเดือนออนไลน์ Jobcan Payroll ได้ภายในโปรแกรมจึงมีการติดตั้งภาษาเอาไว้ถึง 3 […]
หลายคนคงได้ยินคำว่า New Normal บ่อยมากทีเดียว เพราะความ New Normal นี้นับว่ายังไม่สิ้นสุดไปเสียทีเดียวเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นยังไม่สิ้นสุดนั่นเอง ซึ่งสำหรับฝ่ายบุคคลหรือ Hr ที่ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายนี้ New Normal ที่ว่าเรียกได้ว่าทำให้การดูแลองค์กรตลอดจนพนักงานท้าทายขึ้นอย่างมากทีเดียว เรามาดูเรื่องที่ New Normal ทำให้องค์กรต้องปรับตัวกัน New Normal ที่องค์กรต้องปรับตัว หน้าที่หนึ่งของ Hr คือการดูแลสิ่งแวดล้อมภายในองค์กรให้เหมาะแก่การทำงานของพนักงานทุกคนหรือในอีกแง่หนึ่งคือการสร้างสิ่งแวดล้อมหรือควบคุมสถานการณ์ให้ทรัพยากรบุคคลสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่ง New Normal ครั้งนี้ได้ให้โจทย์ด้านการดึงศักยภาพของพนักงานภายในองค์กรนั้นต้องเปลี่ยนจากเดิมทั้งในเรื่องรูปแบบการทำงานของพนักงานและในเรื่องรูปแบบการดูแลสิ่งแวดล้อมขององค์กร รูปแบบการทำงาน ก่อนการระบาดของโรคโควิดจะเข้ามาหลายองค์กรก็เริ่มมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานกันบ้างแล้ว เพื่อให้ชีวิตของคนทำงานสามารถ Work life balance กันได้มากขึ้น บางองค์กรปรับลดวันเข้างานที่บริษัทเปลี่ยนเป็นการเข้าออฟฟิศ 4 วันและทำงานที่บ้าน 1 วัน บางองค์กรลดเวลาการทำงานต่อวัน แต่เมื่อมีการระบาด ผู้คนต้องรักษาระยะห่างรูปแบบการทำงานจึงถูกเร่งให้เปลี่ยนอย่างเลี่ยงไม่ได้ เวลาเข้างาน เมื่อรูปแบบการทำงานถูกปรับเปลี่ยนให้มีการรักษาระยะห่าง หลายองค์กรจึงมีการจัดลำดับการเข้างานใหม่หรือลดเวลาการเข้างานที่องค์กรเปลี่ยนเป็นการทำงานที่บ้านซึ่งทำให้เกิด New Normal ขึ้นโดยเวลาการเข้างานต้องยืดหยุ่นมาขึ้น สิ่งที่ตามมาคือความท้าทายของฝ่ายบุคคลว่าจะจัดการนับช่วงเวลาเข้างานอย่างไร และบริหารการทำงานในรูปแบบนี้อย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่ายได้สูงสุด Remote working Remote working […]
ด้วยสถานการณ์ COVID-19 ทำให้หลากหลายองค์กรต้องปรับตัว ส่งผลให้รูปแบบการทำงานของพนักงานเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการ Work From Home หรือการเข้างานแบบ Hybrid ที่ยังคงต้องรักษามาตรการความปลอดภัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อก็ตาม HR ย่อมพบเจอกับความท้าทายใหม่ๆ ในการดูแลจัดการพนักงานที่ไม่ได้เข้าออฟฟิศดังเมื่อก่อน เช่น การเช็คสถิติการขาดลามาสาย เป็นต้น หากคุณเป็นหนึ่งในบุคคลเหล่านี้ ผู้ที่ทำงานด้านทรัพยากรบุคคล (HR) ผู้ที่สนใจเปลี่ยนมาใช้ HR tech ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการ SME ทาง Jobcan ขอเชิญชวนท่านเข้าร่วมการสัมมนา HR ในหัวข้อ “HR ยุคใหม่ ควรปรับตัวอย่างไรเพื่อเข้าสู่ยุค New Normal” ซึ่งเป็นการร่วมพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาเดิมๆ ที่ HR ต้องเจอระหว่างการทำงาน การใช้เทคโนโลยี IT เพื่อแก้ปัญหาที่เจอในงาน HR รวมถึงข้อดีข้อเสียของการนำเทคโนโลยีมาใช้ หากท่านสนใจ รายละเอียดการสัมมนา HR ในครั้งนี้ มีดังนี้ วัน : พฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม […]
ในช่วงที่รูปแบบการทำงานมีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเช่นตอนนี้ หลายตำแหน่งงานต้องมีการปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอไม่เว้นแม้แต่กับฝ่ายทรัพยากรบุคคลที่ต้องคอยบริการคนและตรวจสอบการทำงานของแต่ละตำแหน่งเองก็ต้องคอยปรับเปลี่ยนพัฒนารูปแบบการทำงานของตัวเองให้เข้ากับยุคสมัยด้วยเช่นกัน เรามาดูกันดีกว่าว่าภารกิจใหม่ที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลหรือ HR นี้จะต้องเป็นอย่างไร ตัวตนใหม่ของ HR ในยุคดิจิทัล ในยุคดิจิทัลทุกอย่างได้ถูกปรับเปลี่ยนให้สะดวกสบายมากขึ้นแต่ความท้าทายก็มากขึ้นตามไปด้วย ทำให้มีหลายสิ่งที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะต้องปรับตัว เรามาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง สร้างรูปแบบการทำงานและสิ่งแวดล้อมที่มีความสุขให้กับพนักงาน เวลาผ่านไปรูปแบบการทำงานก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโควิดแบบนี้ การตามหารูปแบบการทำงานให้เหมาะสมกับเงื่อนไขอย่างการรักษาระยะห่างนั้นเรียกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้หลายบริษัทจะเป็นการ Work from home กันแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาด้านระบบการทำงานตามมาอยู่ดี แม้ว่าการสร้างรูปแบบการทำงานที่มีความสุขให้แก่พนักงานจะไม่ใช่ภารกิจที่แปลกใหม่เพราะเป็นเรื่องที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลพยายามสร้างขึ้นมาโดยตลอด แต่สำหรับในช่วงนี้นับว่าเป็นเรื่องท้าทายมากทีเดียว ปรับสวัสดิการให้น่าสนใจและเหมาะกับความต้องการของพนักงาน เมื่อรูปแบบการทำงานเปลี่ยนแปลงแน่นอนว่ารูปแบบของการใช้ชีวิตก็ย่อมเกิดความเปลี่ยนแปลงทำให้ความต้องการเกี่ยวกับสวัสดิการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยซึ่งเป็นโจทย์ที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะต้องหาคำตอบเพื่อให้พนักงานที่มีศักยภาพในองค์กรตัดสินใจอยู่ด้วยกันและบุคลากรที่มีความสามารถภายนอกองค์กรหันมาให้ความสนใจกับองค์กรมากขึ้นด้วย หากมีสวัสดิการที่ตรงกับความต้องการของพนักงานย่อมทำให้การโฟกัสกับงานที่ทำให้องค์กรได้ดียิ่งขึ้นนับเป็นการพัฒนาศักยภาพขององค์กรได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมเลย มองหาช่องทางที่เหมาะสมในการพัฒนาศักยภาพของพนักงาน หลายบริษัทที่เริ่มทำงานในรูปแบบ Remote working แล้วทำให้พนักงานไม่ได้เข้าออฟฟิศเหมือนอย่างเคยการพัฒนาศักยภาพของพนักงานจึงไม่สามารถทำในรูปแบบออฟไลน์ได้อีกอย่างเช่นการจัดงานสัมมนา การจัดอบรม เป็นต้น ทำให้ฝ่ายทรัพยากรบุคคลนี้ต้องมาหาช่องทางใหม่ในการพัฒนาศักยภาพของพนักงานในองค์กร แน่นอนว่าย่อมเป็นช่องทางออนไลน์ที่จะเข้ามาแทนที่ซึ่งนับว่าเป็นช่องทางที่ทำให้สามารถรักษาระยะห่างในช่วงเวลาโรคระบาดแบบนี้ได้เป็นอย่างดีแต่ก็ทำให้ต้องหาช่องทางอื่นเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานในองค์กรด้วยเช่นกัน ซึ่งมีหลากหลายวิธี เช่น กิจกรรมสันทนาการออนไลน์ หรือ Video Call เป็นต้น ใช้เทคโนโลยีหรือแอปที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ HR ด้วยโจทย์ต่างๆ ที่เข้ามาท้าทายความสามารถของฝ่ายทรัพยากรบุคคลทำให้ต้องหาตัวช่วยเข้ามาอย่างเช่นเทคโนโลยีหรือแอปพลิเคชั่นในการช่วยคำนวณเงินเดือน เดินเรื่องเอกสารอนุมัติภายในองค์กร หรือระบบบันทึกเวลาการทำงานของพนักงาน ซึ่งเป็นงานประจำของฝ่ายทรัพยากรบุคคลอยู่แล้วเพื่อให้ฝ่ายทรัพยากรบุคคลได้ใช้เวลากับการพัฒนาองค์กรในด้านต่างๆ มากขึ้น ปรับรูปแบบการทำงานภายในองค์กรให้ก้าวหน้าตามยุคสมัยอยู่เสมอ รูปแบบการทำงานจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามการใช้ชีวิตในแต่ละยุคสมัยซึ่งหากมีรูปแบบการทำงานที่เหมาะสมกับองค์กรและการใช้ชีวิตของพนักงานแล้วย่อมทำให้องค์กรสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างดีแน่นอน ตัวอย่างเช่น ช่วงเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้นหากเทียบกับสมัยก่อน หลายองค์กรเลือกจะที่ลดเวลาการทำงานเพื่อให้พนักงานสามารถจัดการเวลา […]
PDPA หรือ Personal Data Protection Act คือพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 แน่นอนว่าพ.ร.บ. นี้เกิดขึ้นเพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลของเราปลอดภัยไม่ให้คนนำไปใช้สร้างประโยชน์หรือความเสียหายโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากเรานั่นเอง ข้อมูลส่วนตัวคืออะไร ข้อมูลส่วนตัวหรือที่ใน PDPA จะระบุว่าข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น ชื่อ-นามสกุล เลขประจำตัวประชาชน เลขบัตรประกันสังคม เลขบัญชีธนาคาร เลขบัตรเครดิต ที่อยู่ อีเมล์ รูปภาพใบหน้า ลายนิ้วมือ รูปภาพใบหน้า เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงข้อมูลที่อาจเชื่อมโยงไปถึงบุคคลได้เช่นวันเกิดและสถานที่เกิด เชื้อชาติ สัญชาติ ข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ ข้อมูลการประเมินผลงาน เป็นต้นซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นเอกสารฉบับบจริงหรือสำเนาก็นับเป็นข้อมูลส่วนบุคคลทั้งสิ้น ใครบ้างที่มีส่วนเกี่ยวข้องข้อมูลส่วนบุคคล ใน PDPA ผู้ที่จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลจะแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล บุคคลที่ข้อมูลสามารถระบุไปถึงได้ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล บุคคลหรือนิติบุคคลที่มีอำนาจตัดสินใจ รวบรวม เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ที่ดำเนินการรวบรวม เปิดเผยข้อมูลตามคำสั่งของผู้ควบคุม ได้เป็นผู้ควบคุมเอง สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล โดยพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ […]
ถึงชีวิตเราจะเคยพบกับการเปลี่ยนแปลงมานักต่อนัก แต่มันกลับเป็นสิ่งหนึ่งที่หลายๆ คนกลัว ทุกคนมักจะถอยออกห่างจากการลองทำอะไรใหม่ๆ หรือเปลี่ยนนิสัยบางอย่างของตัวเอง เพื่อรักษาความสมดุลของชีวิตเอาไว้ จนอาจมองข้ามไปว่าความก้าวหน้าในชีวิตนั้น ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยปราศจากการเปลี่ยนแปลง การพัฒนาตัวเองเป็นหนึ่งในแนวทางที่จะเปลี่ยนตัวของเราไปในทางที่ดีขึ้น และเปิดโอกาสใหม่ๆ มากมายในชีวิต การที่เราจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้น ทำได้ไม่ยาก หากมีแรงใจที่มุ่งมั่น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มทักษะต่างๆ หาความรู้ หาประสบการณ์ให้กับตัวเอง เป็นต้น จะมีเทคนิคอะไรบ้างนั้น ทุกคนสามารถหาคำตอบได้จากบทความนี้ ความสำคัญของการพัฒนาตัวเอง การพัฒนาตัวเองจะทำให้เรากลายเป็นคนที่มีความกล้าที่จะเผชิญอุปสรรคและก้าวผ่านจุดด้อยของตัวเองได้เสริมสร้างนิสัยที่พึงประสงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้ตัวเราพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยจะขอแบ่งเป็น 3 ข้อดังนี้ 1. สร้างโอกาสให้กับตัวเอง ทุกคนมีโอกาสในชีวิตไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างเรื่องการทำงาน เช่น การรับคนเข้าองค์กร หรือการเลื่อนตำแหน่งที่มีจำนวนคนจำกัด เป็นต้น คำถามคือเราจะทำอย่างไรให้กลายเป็นคนที่ได้รับโอกาส? คำตอบคือการพัฒนาคุณสมบัติของตัวเราให้กลายเป็นคนที่เหมาะสมให้ได้ ก็จะเป็นการสร้างโอกาสให้ชีวิตเราก้าวหน้ายิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นสมาชิกในทีมขาย แต่อยากได้เงินเดือนเยอะขึ้น ก็ต้องตั้งใจพัฒนาตัวเอง หาความรู้ หาประสบการณ์ และทำผลงานเพื่อที่เลื่อนตำแหน่งเป็น Sales Manager หรือ Sales Director เป็นต้น 2. สร้างเป้าหมายและความท้าทายให้ชีวิต บางคนอาจใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ โดยไร้จุดหมาย ซึ่งการพัฒนาตัวเองจะทำให้เรามีเป้าหมายในชีวิตเราแต่ละวัน […]
หลายบริษัทหรือองค์กรเริ่มมีการเปลี่ยนมาใช้ e-Document แทนการใช้กระดาษกันมากแล้ว แต่หนึ่งในปัญหาของการเปลี่ยนครั้งนี้คือการยืนยันตัวตนเมื่อมีการอนุมัติหรือลงนามเพราะความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ไม่สามารถลงนามด้วยปากกาได้อีกแต่เปลี่ยนมาใช้ e-Signature แทน ทำให้หลายคนอาจมีคำถามถึงความน่าเชื่อถือของการใช้ e-Signature ว่าสามารถยืนยันตัวตนได้จริงหรือไม่ กฎหมายเกี่ยวกับ e-Signature ตามพ.ร.บ. ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) ได้มีการนิยามเกี่ยวกับ e-Signature หรือการลงลายมือชื่อทางอิเล็กทรอนิกส์เอาไว้อย่างชัดเจนในหมวด ๒ ถึงเงื่อนไขการมีผลของ e-Signature ตามกฎหมายว่าหากจะใช้ยืนยันได้จริงจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขใดบ้าง เงื่อนไขความน่าเชื่อถือของ e-Signature e-Signature มีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการยืนยันด้วยอีเมล เบอร์โทรศัพท์ หรือการใช้ OTP (One Time Password) ก็ตามแต่ทั้งหมดนี้ยังคงอยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันตามข้อกำหนดใน พ.ร.บ. ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) หมวด ๒ มาตรา ๒๖ ถึงมาตรา ๒๘ โดย JOBCAN ได้สรุปมาได้ดังนี้ 1. สร้างขึ้นโดยเจ้าของ e-Signature ในการสร้าง e-Signature นั้นจะต้องใช้ข้อมูลที่เชื่อมโยงไปยังเจ้าของ e-Signature […]
ในยุคที่ทุกอย่างล้วนแข่งขันกันด้วยเวลาเสียส่วนใหญ่หลายคนจึงต้องการปรับเปลี่ยนให้ตัวเองกลายเป็นคน Productive ซึ่งนับเป็นการปรับเปลี่ยนที่ไม่ง่ายเลยทีเดียวเพราะความ Productive นั้นมีเคล็ดลับบางอย่างที่จะช่วยให้คุณสามารถทำงานได้มากขึ้นและยังมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย ทำความเข้าใจกับการเป็นคน Productive การเป็นคน Productive นั้นหลักสำคัญอยู่ที่การจัดการกับตัวเองซึ่งนับเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากทีเดียว เพราะการบริหารตัวเองให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดนั้นหมายความว่าเราต้องเข้าใจลักษณะนิสัยและความเคยชินของตัวเองทั้งหมดเสียก่อน จากนั้นก็สามารถวางแผนบริหารเวลาในด้านต่างๆ ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตให้สามารถใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด กล่าวอย่างสรุปคือเราต้องจัดการตัวเองให้ได้ก่อนจากนั้นค่อยเริ่มบริหารเวลาก็จะทำให้เราสามารถเดินตามแผนการทำงานที่วางไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว ตัวช่วยและปัจจัยที่จะช่วยให้เกิดความ Productive แน่นอนว่าการจะเป็นคน Productive นั้นต้องมีเคล็ดลับบางอย่างที่ช่วยให้สามารถบริหารสิ่งต่างๆ ได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งตัวช่วยแต่ละอย่างบอกเลยว่าไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนแต่อย่างใด เรามาดูกันดีกว่าว่ามีเทคนิควิธีการอะไรบ้างที่สามารถนำมาเป็นตัวช่วยได้บ้าง สร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะกับการทำงาน การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะกับการทำงานเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากทีเดียว ซึ่งสิ่งแวดล้อมในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการจัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบหรือการอยู่ที่สถานที่เงียบสงบเพื่อให้มีสมาธิ แต่เป็นสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เช่นบางคนชอบการนั่งทำงานที่คาเฟ่ บางคนอาจจะชอบทำงานไปพร้อมกับเสียงเพลง เป็นต้น หรือโดยทั่วไปสามารถนำหลักการ 5ส มาประยุกต์ใช้ได้ง่ายๆ ดังนั้นเพื่อให้เราสามารถทำงานได้อย่าง Productive จึงต้องเรียนรู้นิสัยการทำงานว่าเราอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใดจึงจะทำงานได้ดีมากที่สุด คุณจะพบว่างานที่ทำนั้นออกมาได้ดีกว่าเดิมอย่างแน่นอน วางแผนจัดลำดับความสำคัญ การวางแผนเรียงลำดับความสำคัญคือ หนึ่งในเทคนิคการบริหารเวลาอย่างคน Productive ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้เราทำงานสำคัญออกมาได้ในเวลาที่สมควร โดยมีการแบ่งประเภทงานตามลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนดังนี้ สำคัญและเร่งด่วน งานที่สำคัญเราต้องทำให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด จัดลำดับความสำคัญเป็นอย่างแรก เป็นสิ่งแรกที่เราจะทำ สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน ลำดับรองลงมาคืองานสำคัญที่เราต้องทำให้เสร็จแต่ไม่ได้เร่งด่วน สามารถจัดไว้ลำดับรองลงมาได้ ซึ่งเราควรให้งานสำคัญส่วนใหญ่เสร็จตั้งแต่ตอนที่งานยังอยู่ในลำดับนี้เพื่อให้งานออกมาได้ดีที่สุด ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน สำหรับงานประเภทนี้เราอาจจะต้องพิจารณาว่าเราต้องเป็นทำงานนี้หรือไม่ หากเป็นงานที่เร่งด่วนจริงสามารถขอให้คนอื่นที่สามารถทำได้และอาจเป็นงานสำคัญของเขาทำได้หรือไม่ โดยส่วนใหญ่งานประเภทนี้จะเข้ามากระทันหัน หากเราสามารถปฏิเสธได้ก็ปฏิเสธ เพราะไม่อย่างนั้นอาจทำให้แผนงานที่เราวางไว้เกิดปัญหาได้ […]