พูดกันถึงเรื่องระยะห่างระหว่างวัย หรือความต่างของ Generation เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ชอบสร้าง topic การพูดคุยหรือแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ โดยหนึ่งในข้อถกเถียงหลายๆครั้งจะมีเรื่องของความคิดเห็นหรือความแตกต่างทางความคิดระหว่างคนแต่ละช่วงวัยหรือคนแต่ละ Gen คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ ว่ามีแนวคิดที่แตกต่างกันในหลายๆเรื่อง ด้วยความที่คนแต่ละช่วงวัยมีประสบการณ์ชีวิต และผ่านเหตุการณ์ในช่วงเวลาที่เติบโตมาแตกต่างกัน สภาพสังคม เศรษฐกิจ และค่านิยม

ในบทความนี้ Jobcan จะกล่าวถึงค่านิยมของคนแต่ละ Generation ว่าแต่ละช่วงวัย ให้ความหมายและความสำคัญกับคำว่า ”ความสำเร็จ” เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ความเหมือนหรือแตกต่างนี้จะทำให้คนทุกวัยอยู่ร่วมกันได้อย่างเข้าอกเข้าใจและไม่มีปัญหาขัดแย้งซึ่งกันและกัน

เพราะเรื่องของความสำเร็จและความมั่นคงของชีวิตเป็นเรื่องที่หลายคนวางแผนและให้ความสำคัญ ดังนั้นหากเราเข้าใจถึงการตั้งเป้าหมายหรือความคิดของคนหลาย Gen ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคม ก็จะทำให้เราเข้าใจถึงพฤติกรรมหรือเหตุผลของเขาเหล่านั้นว่าเหตุใดจึงมีการกระทำ คำพูด หรือความคิดในเรื่องต่างๆที่ทั้งเหมือนและแตกต่างกับเราที่อยู่คนละช่วงวัย

Gen-B

คน Gen-B หรือคนรุ่น Baby Boomer (คนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ. 2489-2507) เป็นเจนเนอเรชั่นที่เติบโตมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เป็นช่วงที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคพัฒนาอุตสาหกรรม ดังนั้นคนในเจนนี้จึงมีการแข่งขันสูง ต้องทำงานหนัก และมีค่านิยมในการอดทนอดกลั้นต่อความยากลำบาก ประหยัด รอบคอบ และยึดถือเรื่องความซื่อสัตย์ กตัญญูรู้คุณ และเรื่องของจริยธรรม ให้ความสำคัญกับการมีอนาคตที่มั่นคง ความเจริญก้าวหน้าและจริงจังกับชีวิต

แต่คนรุ่นนี้จะมีความตั้งใจที่จะสร้างสมบัติและวางแผนความมั่นคงเพื่อส่งต่อให้กับลูกหลานรุ่นต่อไป หากสามารถสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวได้นั่นก็คือความสำเร็จของคนเจเนอเรชัน เบบี้บูมเมอร์


ดังนั้นความสำเร็จของคนเจนนี้ คือการมีชีวิตที่พร้อมสมบูรณ์ สามารถสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวได้ และก่อร่างสร้างตัวเพื่อให้คนรุ่นต่อไปจากตนเองได้มีชีวิตที่ดี ด้วยการขยันทำงาน อดทนและเก็บหอมรอมริบ คนรุ่นนี้หากยังมีส่วนร่วมในองค์กรอยู่ก็อาจจะเป็นเจ้าของกิจการรุ่น 1 หรือผู้ก่อตั้งธุรกิจ ซึ่งตามช่วงอายุ ก็ไม่น่าจะต้องเข้ามาบริหารจัดการอะไรแล้ว แต่อาจยังเป็นผู้ตัดสินใจหรือกำหนดนโยบายสำคัญต่างๆอยู่บ้าง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อคนรุ่นใหม่ที่ทำงานในองค์กรในเชิงนโยบายหรือกฎการทำงาน คำสั่งที่ต้องปฏิบัติตาม

Gen-X

Gen-X หรือคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ.2508 – 2522 เป็นเจนเนอเรชั่นที่เติบโตมากับการเลี้ยงดูของคน Gen-B ที่มีระเบียบวินัย และเป็นยุคที่การพัฒนาเศรษฐกิจกำลังเฟื่องฟู และพ่อแม่ที่เน้นย้ำเรื่องการประสบความสำเร็จในชีวิต คนรุ่นนี้จะยังมีความตั้งใจทำงาน มีความเป็นตัวของตัวเองสูง กล้าแสดงออก และใช้เงินเก่ง แต่ก็เป็นยุคที่เริ่มเรียนรู้และรู้จักกับเทคโนโลยี เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือโทรศัพท์ด้วย แน่นอนว่าคนรุ่นนี้เองก็เคยผ่านการเป็นคนรุ่นใหม่มาก่อน และพวกเขาก็อาจมีแนวคิดว่าคน Gen-B ขึ้นไปเป็นคนรุ่นเก่า สำหรับคนเจนนี้บางคนที่มีหัวก้าวหน้าหรือคนเจนเอ็กซ์ที่ชื่นชอบในความทันสมัยและรับได้กับความเปลี่ยนแปลง

พูดกันถึงเรื่องของโลกแห่งการทำงานที่มีคนรุ่นใหม่อยู่ คนเจนเอ็กซ์ในปัจจุบันยังคงทำงานอยู่ในบริษัทหรือองค์กรต่างๆ ตั้งแต่ระดับพนักงานอาวุโส ไปจนถึงหัวหน้างาน ผู้บริหาร หรือเจ้าของกิจการ แต่ข้อดีของคนเจเนอเรชันนี้คือพวกเขาถูกเลี้ยงดูมาด้วยคนที่ยึดติดกับกฎระเบียบมากๆ ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้ปกครองหรือพี่น้องกับคนเจเนอเรชันวาย ที่ได้เห็นการพัฒนาของสิ่งใหม่ๆ ที่เป็นเหตุผลของความคิดก้าวหน้าและความทันสมัย ทำให้การทำงานกับคนรุ่นนี้จะมีโอกาสที่เข้าใจความคิดและพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ง่ายกว่าสำหรับคนรุ่นใหม่

และในขณะเดียวกันคน Gen-X ในฐานะพ่อแม่ก็มีทัศนคติต่อความสำเร็จในชีวิตที่ใกล้เคียงกันกับ Gen-B และยังมีการปลูกฝังแนวคิดเรื่องความสำเร็จนี้ให้แก่รุ่นลูกด้วย และนั่นจึงเป็นเรื่องของความแตกต่างระหว่างความสำเร็จของคนรุ่นนี้กับคนรุ่นถัดไปว่าจะตีความคำนี้แตกต่างกันอย่างไร

Gen ไหนๆ ก็ทำงานร่วมกันได้

แค่เข้าใจความคิดและยอมรับกันและกัน

Gen-Y

คน Gen-Y หรือคนยุค Millennials คนกลุ่มแรกๆที่ถูกเรียกว่าคนรุ่นใหม่ คนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ.2523-2540 เป็นเจนเนอเรชั่นที่เติบโตมาในช่วงที่เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่างๆ เริ่มพัฒนาขึ้นมาบนโลกใบนี้ ความสำเร็จของคนเจเนอเรชั่นนี้เป็นเรื่องของการค้นพบตนเอง และการได้ทำงานหรือได้อยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบ และมีความสุขกับความสำเร็จที่อาจจะดูเล็กน้อยในสายตาของผู้ใหญ่เจนก่อนหน้า แต่คนรุ่นใหม่เหล่านี้กลับมองว่าความสำเร็จจากการกระทำเล็กๆนี่แหละที่จะทำให้พวกเขาสามารถสร้างความมั่งคงหรือค้นพบความสุขให้กับชีวิตได้ ในลักษณะใกล้เคียงกันกับที่คนรุ่นพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายส่งต่อมา

อย่างไรก็ตามหากพูดถึงความสำเร็จของคนรุ่นใหม่ในเจนวายนี้ เพียงแค่การใช้ชีวิตที่อิสระอย่างที่ตนเองมีความสุข แล้วค่อยไปตีความคำว่า ‘สุข’ ของแต่ละคนกันอีกที และด้วยความที่คนในเจนนี้ส่วนใหญ่ได้รับการเลี้ยงดูและค่อนข้างมีพื้นฐานชีวิตที่ดีกว่าคนรุ่นก่อนที่ต้องต่อสู้มาแล้ว หรือให้เข้าใจง่ายก็คือค่อนข้างสบายกว่ารุ่นก่อนหน้าในทางกายภาพ รวมกับการเติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กับเทคโนโลยีและความสะดวกสบายต่างๆ ทั้งเรื่องการเดินทาง การสื่อสาร หรือเรื่องอื่นๆ

ดังนั้นความสำเร็จหรือเป้าหมายในชีวิตของคนเจนนี้อาจไม่สามารถชี้วัดได้ด้วยลักษณะทางกายภาพเหมือนรุ่นก่อน เช่น มีบ้าน มีรถ มีเงินเก็บ แต่เป็นการมีงานหรือมีกิจกรรมอะไรที่ทำแล้วตอบสนองความเชื่อหรือความชอบของตนเอง แล้วสามารถเลี้ยงดูตนเองได้ด้วยในขณะเดียวกัน

และการที่เป้าหมายชีวิตของคนเหล่านี้คือการเจอสิ่งที่ใช่ จึงทำให้ถูกคนรุ่นก่อนที่อยู่ในที่ทำงานมองว่าไม่ทนงาน เป็น Job Hopper บ้าง ไม่เอาไหน ไม่จงรักภักดีต่อองค์กรบ้าง เพียงเพราะพนักงานที่เป็นคนรุ่นใหม่เหล่านี้เลือกที่จะเอาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่ง เนื้องาน หรือองค์กรที่ตนเองรู้สึกว่าจะสามารถตอบสนองสิ่งที่ต้องการได้ เช่น การเติบโตในสายอาชีพ การได้เรียนรู้การทำงานใหม่ๆ ในสายงานที่ตัวเองถนัด กระบวนการทำงานที่ใช้แรงงานและเวลาอย่างฉลาด และรวมถึงเรื่องของค่าตอบแทน

ดังนั้นหากงานที่ทำอยู่ไม่สามารถทำให้พวกเขารู้สึกว่าได้เรียนรู้ ไม่ก้าวหน้า พวกเขาก็พร้อมที่จะเปลี่ยนงานเพื่อให้ได้ทำในสิ่งที่สนใจ และอยู่ในองค์กรที่มีสภาพแวดล้อมที่เขาสบายใจเท่านั้นเอง ซึ่งเรื่องของสไตล์การทำงานของคนรุ่นใหม่นี้จะขอยกเอาไปไว้ในบทความต่อไป รวมถึงเรื่องของความสำเร็จในการทำงานตามมุมมองของคนรุ่นใหม่ด้วย

Gen-Z

คน Gen-Z หรือคนที่เกิดหลัง พ.ศ. 2540 ขึ้นไป คนรุ่นใหม่ในปัจจุบันที่กำลังเป็นที่พูดถึงเพราะเป็นกลุ่มคนที่กำลังทยอยเข้าสู่ตลาดงานหลังจากเรียนจบ คนเจนนี้ส่วนใหญ่จะโตมากันสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายคล้ายคลึงกันกับคนเจนวาย เพราะโตขึ้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีต่างๆ ที่ค่อนข้างพร้อมแล้ว ทำให้คนเจนนี้คิดเร็วทำเร็ว หรือหากคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าบางคนมองอาจจะคิดว่าเด็กรุ่นนี้ใจร้อน

ด้วยความที่เติบโตมาในยุคที่ทุกอย่างสะดวก ง่าย และรวดเร็ว จึงทำให้คนเจนนี้เคยชินกับการทำอะไรผ่านเทคโนโลยีที่จะทำให้การทำงานของเขาง่ายขึ้น ส่วนเรื่องของความสำเร็จของคนเจนนี้ยังคงต้องศึกษากันต่อไป เพราะเป็นคนกลุ่มใหม่ที่เติบโตขึ้นมาในสังคม และคนทำงานรุ่นก่อนหน้าก็อาจจะยังตกใจกับความเห็นขอนรุ่นใหม่ในเรื่องการทำงาน หรืออาจรู้สึกว่าความคิดใหม่ๆ แปลกๆ เหล่านี้ ยังเป็นเรื่องที่ใหม่เกินกว่าที่จะยอมเปิดใจรับฟังง่ายๆ ก็ต้องให้เวลาและกระบวนการทำงานเป็นเครื่องพิสูจน์กันต่อไป

หากมองย้อนกลับไปไล่ตั้งแต่ Generation ของ Baby Boomer มาจนถึง Gen-Z ก็จะพอเข้าใจความต่างของทั้งทัศนคติและการตั้งเป้าหมายในเรื่องของความสำเร็จ เพราะคนรุ่นก่อนกับคนรุ่นใหม่เติบโตมาในยุคสมัยและสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน จึงทำให้ได้รับ content ที่ต่างทั้งเนื้อหาและรูปแบบ ความเข้าใจหรือความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ จึงต่างกันไปโดยธรรมชาติ ดังนั้นในการทำงานร่วมกันจึงจำเป็นจะต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นและค่อยๆ ปรับจูนวิธีคิด หรือสไตล์การทำงานเข้าหากัน เพราะคนทำงานแต่ละเจนก็มีจุดเด่นและข้อดีที่เมื่ออยู่รวมกันแล้วจะทำให้ได้งานที่มีผลลัพธ์ที่ลงตัว จากความคิดเห็นและทฤษฎีที่หลากหลายประกอบกัน

บทความอ้างอิง

นิยามความสำเร็จที่แตกต่างของแต่ละ Generation

Jobcan Attendance ระบบตอกบัตรออนไลน์พนักงาน
สนใจระบบ Jobcan ติดต่อ 02-107-1867
ลงทะเบียนสอบถามข้อมูล : https://bit.ly/3pamnFe