ลองเช็คดู.. คุณกำลังมีอาการเหล่านี้หรือเปล่า? มาทำความรู้จักกับโรคสมาธิสั้นในคนทำงานกัน (ADT)

ในสังคมที่เร่งรีบเช่นนี้ทำให้หลายคนต้องคอยรับผิดชอบหลายสิ่งหลายอย่างไปพร้อมกันจนทำให้เกิดความร้อนรนโดยไม่รู้ตัวพฤติกรรมเหล่านี้อาจส่งผลร้ายให้กับตัวเองได้ในภายหลังอย่างการเป็นโรคสมาธิสั้นในคนทำงานหรือ ADT นั่นเอง วันนี้ JOBCAN จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับโรคสมาธิสั้นในคนทำงานหรือ ADT (Attention Deficit Trait) ว่าสามารถเกิดขึ้นได้อย่างไร และควรจะรับมืออย่างไรบ้าง ทำความรู้จักกับโรคสมาธิสั้นในคนทำงานหรือ ADT  โรคสมาธิสั้นในคนทำงานหรือ ADT (Attention Deficit Trait) เป็นโรคที่คล้ายกับการเป็นโรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่ หรือ ADHD (Attention-deficit hyperactivity disorder) แต่ยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง โดยที่โรคสมาธิสั้น ADT นี้สามารถรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ อาการของโรคสมาธิสั้น อาการของโรคสมาธิสั้นคือ การที่ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งได้นานๆ สมาธิจะวอกแวกได้ง่าย เมื่อมีสิ่งเร้าเกิดขึ้นก็พร้อมจะหันไปสนใจทันที โดยส่วนมากจะเป็นในคนที่ทำงานลักษณะ Multitasking หรือทำหลายอย่างพร้อมๆ กัน ซึ่งอาการสมาธิสั้นนี้ยังส่งผลให้มีความอดทนต่ำ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์หรือคิดสร้างสรรค์ลดลง ประสิทธิภาพในการจัดลำดับความสำคัญของงานหรือแบ่งเวลาก็ลดลงตามไปด้วย และยังมีอาการเครียด กังวลหรือคิดถึงปัญหาอยู่ตลอดเวลา ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคสมาธิสั้น โรคสมาธิสั้นหรือ ADT นี้เกิดขึ้นได้ทั้งจากพันธุกรรมและสภาวะแวดล้อมซึ่งโดยส่วนมากมักเกิดจากสภาวะแวดล้อมไม่ดีที่ต้องทำงานอย่างรีบเร่งอยู่เสมอ อาจเป็นเพราะมีความรับผิดชอบหลายอย่างอยู่ในมือแต่ไม่มีการจัดเวลาที่ดีมากพอ ทำให้ไม่สามารถโฟกัสหรือมีสมาธิกับงานใดงานหนึ่งได้เพียงงานเดียว เมื่อเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งก็จะทำให้กลายเป็นโรคได้นั่นเอง วิธีการแก้ไขโรคสมาธิสั้น โรคสมาธิสั้นอย่าง ADT นั้นสามารถแก้ไขหรือรักษาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ หรือจะทำเป็นกิจวัตรทุกวันก็ได้เช่นกัน […]

เทรนด์ใหม่มาแรง 2022! “Workation” คืออะไร? ทำไมคนถึงนิยมในสมัยนี้? HR ควรอ่าน

เมื่อเกิดโรคระบาดที่ทำให้การใกล้ชิดกันหรืออยู่ในพื้นที่หนาแน่นเป็นอันตรายได้ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานเป็นการ Work from home เกิดขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไปการระบาดของโรคร้ายอย่างโควิด ก็เริ่มมีการรับมือได้มากขึ้นและยังได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานไปอีกขั้นหนึ่งด้วยเช่นกัน  วันนี้ JOBCAN จึงพาทุกคนมาทำความรู้จักกับรูปการทำงานใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากทีเดียว นั่นคือการ Workation จะเป็นการทำงานแบบใดและมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง ไปดูกัน ทำความรู้จักกับ Workation Workation คือการผสมผสานคำว่า Work ที่แปลว่า ทำงาน เข้ากับคำว่า Vacation ที่แปลว่าพักร้อน เข้าด้วยกัน จึงกลายเป็นการทำงานในสถานที่ที่ต่างออกไปอย่างแหล่งท่องเที่ยว เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานให้ผ่อนคลายมากขึ้น โดยที่ไม่ลดความรับผิดชอบหรือเป้าหมายการทำงานลงแต่อย่างใด แต่ถึงอย่างนั้นการทำ Workation นี้ก็ทำได้เพียงบางตำแหน่งหรือบางทีมเท่านั้น ต้องดูตามความเหมาะสม ความน่าสนใจของ Workation ความน่าสนใจของการ Workation นี้จะอยู่ที่การเปลี่ยนสถานที่ทำงานบ่อยๆ นี้จะส่งผลอย่างไรต่อการทำงานได้บ้าง เราจึงจะมาดูกันว่าข้อดีหรือจุดที่น่าสนใจที่ทำให้หลายทีมพากัน Workation นี้คืออะไรกันแน่ มาดูกัน ลดความเครียดและเพิ่มแรงบันดาลใจในการทำงาน บางทีบางครั้งการนั่งอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมตลอดเวลาอาจกลายเป็นการสร้างแรงกดดันอันไร้รูปทำให้พนักงานไม่สามารถสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานได้ ยิ่งกับคนที่ต้องการแรงบันดาลใจด้วยแล้ว ภาวะขาดแรงบันดาลใจนี้เรียกว่าลดความอยากในการทำงานได้มากทีเดียว ซึ่ง Workation สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างแน่นอนเพราะด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงย่อมทำให้สมองได้เปิดรับสิ่งใหม่อย่างไม่รู้ตัวเลย เปิดพื้นที่ให้คนบ้างานได้พักผ่อนบ้าง หลายคนที่รักการทำงานเป็นอย่างมากอาจมีความรู้สึกผิด เมื่อให้เวลาพักผ่อนกับตัวเองสักครั้งก็เป็นได้ แต่กับการ Workation นั้นจะต่างออกไปเพราะพนักงานสามารถแบ่งเวลาให้กับการทำงานที่เท่าเดิมคือ […]

พนักงานชอบมาสาย เหล่า HR จะทำยังไงได้บ้าง? นโยบายแบบไหนใช้ได้ผล?

หนึ่งในปัญหาปวดหัวของ HR เลยก็คือเรื่องที่พนักงานมาสาย เพราะตามกฎหมายแล้วแม้ว่าพนักงานจะมาสาย 5 นาทีหรือ 1 ชั่วโมงก็ไม่สามารถหักเงินได้ ขณะเดียวกันจะบังคับให้ใช้วันมาสายเป็นวันลาพักร้อนไป ก็ไม่ได้เช่นกันเพราะตามข้อกฎหมายกวล่าวว่าพนักงานจะต้องได้ใช้วันลาตามความสมัครใจเท่านั้น แล้วแบบนี้ HR จะสามารถทำอย่างไรได้บ้างถึงจะรับมือและแก้ปัญหากับพนักงานที่มาสายได้ วันนี้ JOBCAN จึงได้นำเอาเทคนิควิธีที่จะช่วยให้องค์กรสามารถแก้ไขปัญหาพนักงานมาสายได้ ทั้งยังสามารถรักษาผลประโยชน์ของทั้งฝ่ายพนักงานและองค์กรได้ด้วย โดยมีทั้งหมด 5 วิธีด้วยกัน ดังนี้ จูงใจพนักงานด้วยสวัสดิการพิเศษสำหรับคนเข้างานตรงเวลา คนทำดีย่อมต้องได้รับผลตอบแทนที่ดี เป็นหนึ่งในวิธีการที่สามารถนำมาใช้จูงใจให้เหล่าพนักงานอยากจะเข้างานตรงเวลาด้วยการเสนอสวัสดิการพิเศษสำหรับพนักงานที่มีบันทึกการเข้างานตรงเวลา โดยสามารถเสนอเป็นการมอบเบี้ยขยันสำหรับคนที่ไม่เคยมาสายและมีการลดเบี้ยขยันลงเมื่อมีการมาสายเกิดขึ้น หรือเปลี่ยนเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของการประเมินพนักงานดีเด่นซึ่งหากมีคุณสมบัติครบจะได้รับสวัสดิการพิเศษที่ควรค่าในการจูงใจ อย่างเช่น วันลาพักร้อนหรือการปรับขึ้นเงินเดือน เป็นต้น สิ่งสำคัญในการจูงใจพนักงานด้วยสวัสดิการพิเศษนี้คือ ตัวสวัสดิการพิเศษจะต้องมีความน่าสนใจมากพอที่จะสร้างแรงดึงดูดให้พนักงานมาสายเปลี่ยนพฤติกรรมได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้สึกถูกจูงใจกับวิธีการนี้ ดังนั้นจึงอาจมีบางคนที่ใช้เทคนิคนี้ไม่ได้ผลอยู่บ้าง คิดเงินเดือนตามจำนวนเวลาที่เข้าทำงานจริง แม้ว่าองค์กรจะไม่สามารถหักเงินเดือนพนักงานมาสายได้ แต่สามารถสร้างข้อตกลงร่วมกันได้โดยหนึ่งในวิธีการที่น่าสนใจคือการนับระยะเวลาทำงานเพื่อคำนวณเงินเดือนอย่างตรงไปตรงมาหรือก็คือการคิดเงินเดือนโดยคำนวณเป็นหน่วยนาทีแทนจำนวนวัน ดังนั้น หากมีพนักงานมาสาย พนักงานคนนั้นจะต้องอยู่ทำงานต่อหลังเวลาเลิกงานเพื่อให้จำนวนระยะเวลาครบตามกำหนดและไม่ถูกหักเงินเดือนนั่นเอง วิธีการนี้มีหลักสำคัญอยู่ที่การตกลงร่วมกันระหว่างองค์กรและพนักงานและต้องมีระบบการบันทึกเวลาเข้างานที่คำนวณระยะเวลาการทำงานได้อย่างแม่นยำเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ โดยองค์กรสามารถใช้วิธีนี้ร่วมกับการมอบเบี้ยขยันหรือสวัสดิการพิเศษก็จะช่วยสร้างแรงจูงใจได้มากขึ้น พูดคุยสอบถามถึงสาเหตุเพื่อแก้ปัญหา พนักงานมาสายอาจเป็นสัญญาณบางอย่างที่กำลังบอกองค์กรว่าพวกเขามีปัญหา ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องที่ฝ่ายบุคคลหรือ HR ต้องเข้าไปสอดส่องสังเกตการณ์ เพราะหากพนักงานที่มาสายมาจากแผนกหรือทีมเดียวกันอยู่บ่อยครั้ง ก็ควรตรวจสอบดูปริมาณงานที่ในทีมได้รับผิดชอบหรือข้อร้องเรียนที่เคยได้รับจากทีมนั้นๆ เพื่อพูดคุยแก้ไขกันต่อไป หรือในบางครั้งพนักงานมาสายอาจเป็นปัญหาส่วนตัวที่องค์กรสามารถยอมรับได้ เช่น พนักงานเกิดอุบัติเหตุที่ขาทำให้เดินทางไม่สะดวกอยุ่บ้างส่งผลให้การเดินทางมาทำงานล่าช้า หรือในช่วงฤดูฝนเกิดภัยน้ำท่วมเป็นบางแห่งทำให้เดินทางลำบาก เป็นต้น เมื่อพูดคุยทำความเข้าใจแล้วองค์กรก็สามารถอนุโลมหรือคิดวิธีการเพื่อช่วยเหลือพนักงานต่อไปได้ […]

พนักงานลาออกบ่อยจนเสียกำลังใจ.. จะแก้ไขได้ยังไง พบกับวิธีป้องกันและแก้ไขได้ที่นี่

หนึ่งในความรับผิดชอบของ HR หรือฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลคือ การดึงรั้งให้พนักงานอยู่กับองค์กรนานที่สุดตราบเท่าที่ความสามารถของพนักงานสามารถช่วยขับเคลื่อนบริษัทได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็อาจมีความผิดพลาดบางอย่างที่ HR ไม่ทันได้สังเกตซึ่งส่งผลให้พนักงานลาออกบ่อยขึ้น โดยอาจจะเริ่มจากการลาออกของพนักงานเพียงคนเดียวแล้วจากนั้นก็ทยอยมาแจ้งกันเรื่อย ปัญหานี้ทำให้ HR ปวดหัวมากทีเดียว วันนี้ JOBCAN จึงได้นำเอาวิธีการรับมือเมื่อพนักงานลาออกบ่อยจนทะลุขีดจำกัดมาฝากกัน ว่าควรจะเร่งทำอะไรบ้างเพื่อหยุดยั้งการลาออกนี้ ไปดูกัน สำรวจความเครียดในการทำงาน สาเหตุหนึ่งที่ทำให้พนักงานลาออกบ่อยหรือติดต่อตามกันไปได้มาก คืองานที่ได้รับมอบหมายมีความเครียดหรือความกดดันมากเกินรับไหว ยิ่งเมื่อหนึ่งคนในทีมลาออก แปลว่างานที่ต้องรับผิดชอบส่วนหนึ่งจะตกไปที่สมาชิกคนอื่นๆ ในทีมด้วยแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่จะมีการลาออกติดต่อกันตามมาเรื่อยๆ จนบริษัทประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานได้ ดังนั้น สิ่งแรกที่ HR ต้องทำคือการสำรวจดูว่าการมอบหมายงานภายในแผนกมีการจัดการที่เหมาะสมหรือไม่ หากมีการจัดการที่ไม่เหมาะสม ก็ควรพูดคุยปรึกษากับหัวหน้างานหรือหัวหน้าแผนกเพื่อจัดการให้เหมาะสม แต่หากมีการจัดการที่เหมาะสมแล้วแต่เนื้องานมีความกดดันอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็ ควรสร้างพื้นที่ผ่อนคลายที่เหมาะสมให้กับพนักงานทดแทน อย่างเช่น ห้องพักผ่อน สวัสดิการนวดผ่อนคลาย เป็นต้น ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมงานเป็นปัจจัยที่มีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจ ว่าจะอยู่ต่อหรือลาออกของพนักงานส่วนใหญ่เลยทีเดียว เพราะการมีเพื่อนร่วมทีมที่เข้ากันได้ดีสามารถทำให้พนักงานแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่หากมีความขัดแย้งภายในทีมเกิดขึ้นก็อาจส่งผลให้มีพนักงานลาออกบ่อยมากขึ้น ยิ่งหากไม่รีบแก้ไขด้วยแล้วก็อาจทำให้องค์กรต้องสูญเสียพนักงานที่มีความสามารถไปได้ หากมีการลาออกของพนักงานในทีมเดียวกันติดต่อกันแล้ว อย่างแรกที่ HR ควรสังเกตคือเรื่องของความสัมพันธ์ภายในทีมว่าสามารถเข้ากันได้ดีหรือไม่ ความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้าและลูกน้องเป็นอย่างไร เพราะหากไม่สามารถควบคุมได้อาจเกิดการลาออกติดกันเป็นลูกโซ่ได้  สำรวจค่าตอบแทนต่อหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบ ทุกคน รวมถึง HR เองต่างก็ทำงานเพื่อค่าตอบแทนกันทั้งสิ้น ดังนั้นการที่พนักงานลาออกบ่อยในบางครั้ง อาจมีปัญหามาจากการให้ค่าตอบแทนไม่เหมาะสมกับเนื้องานที่ได้รับมอบหมายก็เป็นได้ […]

ประเมินผลการทำงาน

Performance Appraisal: ความสำคัญของการประเมินผลการทำงาน

การประเมินผลการทำงาน (Performance Appraisal) คือวิธีการหนึ่งที่องค์กรใช้ชี้วัดความสำเร็จในการทำงานของพนักงาน รวมถึงเป็นเครื่องมือกระตุ้นความกระตือรือร้นให้พนักงานพัฒนาศักยภาพของตัวเอง ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาบุคคลและองค์กรไปพร้อม ๆ กัน สิ่งสำคัญที่สุดของการประเมินผลการทำงานคือการชี้วัดความสำเร็จและศักยภาพในการทำงานของพนักงาน ซึ่งการประเมินนั้นมีผลต่อการพิจารณาโบนัส พิจารณาการเลื่อนตำแหน่ง รวมถึงพิจารณาการขึ้นเงินเดือนอีกด้วย ดังนั้นการประเมินผลการทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลควรให้ความสำคัญและจัดการประเมินพนักงานในองค์กรอย่างสม่ำเสมอ จุดประสงค์ของการประเมินผล การประเมินผลการทำงานเป็นกระบวนการสำคัญสำหรับการบริหารบุคคลในองค์กร ซึ่งส่งผลต่อการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จ แต่นอกเหนือจากจุดประสงค์ดังกล่าวแล้ว การประเมินผลการทำงานยังมีจุดประสงค์อื่น ๆ ร่วมด้วย ดังนี้ เพื่อวัดผลศักยภาพการทำงาน การประเมินผลการทำงานจะอิงจากหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละตำแหน่งงาน เพื่อตรวจสอบว่าพนักงานที่เราเลือกให้ผ่านการสัมภาษณ์และรับเข้ามาทำงานนั้นสามารถปฏิบัติงานตามที่หัวหน้าทีมมอบหมายงานได้ไหม การปฏิบัติงานเป็นไปตามมาตรฐานที่องค์กรวางไว้หรือไม่ รวมถึงศักยภาพการทำงานเป็นอย่างไร เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน นอกจากการวัดผลศักยภาพการทำงานของพนักงานว่าสามารถปฏิบัติตามรายละเอียดงานประจำตำแหน่งได้หรือไม่ การประเมินผลการทำงานยังเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้พนักงานเพิ่มความใส่ใจต่องานของตน ช่วยให้พนักงานมีความ productive มากขึ้น รู้ถึงจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง ตั้งใจพัฒนาตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อทำผลงานที่มีประสิทธิภาพและนำไปสู่ความสำเร็จขององค์กร เพื่อเน้นจุดเด่น แก้ไขจุดอ่อน การประเมินผลการทำงานทำให้มองเห็นถึงข้อบกพร่องต่าง ๆ ในการทำงานของพนักงานแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประสิทธิภาพการทำงาน ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมทีม รวมไปถึงความสัมพันธ์กับบุคลากรในองค์กร ว่ามีจุดไหนที่สามารถปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นได้ ซึ่งนอกจากจุดบกพร่องแล้ว การประเมินผลการทำงานยังทำให้เห็นถึงจุดเด่น ซึ่งสามารถนำมาส่งเสริมให้พนักงานมีศักยภาพมากยิ่งขึ้นได้ด้วยเช่นกัน เพื่อเปิดโอกาสการเลื่อนตำแหน่ง สืบเนื่องจากจุดประสงค์ข้อก่อนหน้า หากพนักงานสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองเพิ่มขึ้นได้ หรือทำผลงานบางอย่างที่สามารถตอบโจทย์มาตรฐานการทำงานและส่งผลดีกับองค์กร HR สามารถใช้ศักยภาพและผลงานของพนักงานมาเป็นเกณฑ์สำหรับการเลื่อนตำแหน่ง การขึ้นเงินเดือน หรือการให้โบนัสกับพนักงานได้ เพื่อเป็นค่าตอบแทนความตั้งใจและความใส่ใจในการทำงานของพนักงานแต่ละคน […]

ทำงานต่างประเทศแล้วดีกว่าจริงเหรอ? รวยจริงหรือเปล่า? อ่านเลย!

ในโลกที่ไร้พรมแดนมากขึ้นทุกวันทำให้ขอบเขตของโอกาสและการพิสูจน์ความสามารถขยายกว้างออกไปอย่างไร้ขีดจำกัดตามไปด้วย ยิ่งกับคนที่มีความสามารถต้องการเลือกโอกาสที่ดีกว่าย่อมต้องการออกไปเผชิญกับโลกการทำงานที่กว้างใหญ่มากขึ้นอย่างในต่างประเทศ แต่การไปทำงานต่างประเทศจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าจริงหรือ แล้วมีข้อควรคำนึงใดบ้างที่เราต้องรู้ก่อนจะไปกันบ้าง วันนี้ JOBCAN จึงได้นำเอาปัจจัยในการพิจารณาว่าการทำงานต่างประเทศนั้นเราควรจะคำนึงถึงอะไรบ้าง แล้วมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ไปดูกัน ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงในการทำงานต่างประเทศ ขึ้นชื่อว่าเป็นต่างประเทศต่อให้มีความเหมือนกันมากเท่าใดก็ย่อมมีจุดที่ต่างกันอยู่ดี แต่ว่ามีเริ่องอะไรบ้างที่ต้องเก็บความแตกต่างเหล่านั้นมาพิจารณาให้แน่ชัด เพื่อการพิจารณาหรือกระทั่งเตรียมความพร้อมในการเปลี่ยนงานไปทำงานต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมพร้อม เรื่องของเงินหรือต้นทุนที่ต้องใช้จ่ายนั้นไม่ว่าจะย้ายไปที่ใดก็มีเรื่องที่ต้องใช้เงินอย่างแน่นอน สิ่งที่ต้องเตรียมให้พร้อมเลยคือส่วนของเงินสำรองหรือเงินฉุกเฉิน เพราะหากเกิดความผิดพลาดหรือเหตุฉุกเฉินในต่างแดนจะได้สามารถมีตัวช่วยคอยช่วยได้อยู่ทางหนึ่งด้วย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการสำรองเงินนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้วไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ค่าครองชีพที่แตกต่าง ทุกประเทศจะมีการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำออกมาเพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพ ดังนั้น การทำงานในประเทศที่มีค่าแรงขั้นต่ำสูงกว่าประเทศไทยย่อมหมายถึงค่าครองชีพที่สูงกว่าตามไปด้วย ซึ่งในค่าครองชีพเหล่านี้บางครั้งอาจไม่ได้หมายถึงค่าอาหารหรือค่าเดินทางเพียงอย่างเดียว แต่อาจเป็นค่าใช้จ่ายอย่างอื่นเช่น ค่าที่พักอาศัย ค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น จึงควรศึกษาสิ่งแลกเปลี่ยนเหล่านี้ให้แน่ชัดเสียก่อน เพื่อจะสามารถคำนวณได้ว่าคุ้มค่ากับการย้ายไปทำงานต่างประเทศหรือไม่ ความแตกต่างของวัฒนธรรม หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราว culture shock หรือการตกใจในวัฒนธรรมที่แตกต่างของต่างแดนกันมาบ้างแล้ว และในความแตกต่างเหล่านี้ย่อมมีทั้งเรื่องเล็กน้อยไปจนถึงเรื่องใหญ่ ดังนั้นก่อนจะเดินทางไปทำงานต่างประเทศก็ควรศึกษาเรื่องราวของประเทศนั้นๆ เอาไว้ก่อนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือให้มากที่สุด ข้อดีของการทำงานต่างประเทศ หนึ่งในการขยับขยายหน้าที่การงานที่ท้าทายที่สุดย่อมเป็นการออกไปตามหาประสบการณ์ด้วยการไปทำงานต่างประเทศอย่างแน่นอน นอกจากนี้แล้วยังมีข้อดีอะไรอีกบ้างไปดูกัน ค่าตอบแทนและสวัสดิการ หากความสามารถมีอยู่มากแล้วการจะเลือกที่ทำงานที่ให้ผลตอบแทนสูงย่อมไม่ใช่เรื่องยากอย่างแน่นอน ยิ่งในประเทศที่มีการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ด้วยแล้ว การทำงานมักจะอยู่ในเงื่อนไขที่ให้พนักงานสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสมดุลไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพักผ่อน การทำงาน หรือการมีครอบครัวจึงมีสวัสดิการที่ซับพอร์ตการใช้ชีวิตได้มากขึ้นตามไปด้วย และด้วยค่าครองชีพบวกกับภาวะทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันทำให้ค่าตอบแทนอย่างเงินเดือนและโบนัสสูงกว่าประเทศไทยเราจนเป็นหนึ่งในปัจจัยที่หลายคนเลือกจะไปท้าทายตัวเองที่ต่างประเทศนั่นเอง การพัฒนาในสายงานที่กว้างขึ้น หลายคนที่ต้องความท้าทายที่มากขึ้นในการทำงานนั้น เรียกได้ว่าการทำงานต่างประเทศเป็นคำตอบที่ใช่เลยโดยเฉพาะการเลือกบริษัทดังระดับโลก เพราะพาตัวเองไปสู่ตลาดที่ใหญ่มากขึ้นหรือแตกต่างกันออกไปไม่ว่าจะในสายงานใดก็ตามย่อมเป็นการพัฒนาความสามารถให้หลากหลาย และยังได้เรียนรู้ในมุมมองที่ต่างกันออกไปด้วย  ประสบการณ์การทำงานที่หลากหลาย การไปทำงานต่างประเทศย่อมมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่แตกต่างอย่างแน่นอน ทั้งการพบเจอผู้คน […]

[Jobcan Webinar]รู้ก่อนใคร! เตรียมตัวเข้าสู่ HR ยุคอนาคต กับระบบ HR On Cloud

พบกับสัมมนาครั้งใหม่โดย 𝐉𝐎𝐁𝐂𝐀𝐍 ที่เหล่า 𝐇𝐑 ไม่ควรพลาด โดยเนื้อหาการสัมมนามีดังนี้ ไขเคล็ดลับการประยุกต์ใช้ 𝐇𝐑 𝐭𝐞𝐜𝐡 ในงาน 𝐇𝐑 แผนการวางระบบ 𝐀𝐭𝐭𝐞𝐧𝐝𝐚𝐧𝐜𝐞 (การเข้าออกของพนักงาน)ให้องค์กร เรื่องน่ารู้ก่อนการคำนวณ-จ่ายเงินเดือนให้กับพนักงาน หากคุณเป็นหนึ่งในบุคคลเหล่านี้ ผู้ที่ทำงานด้านทรัพยากรบุคคล (HR)  ผู้ที่สนใจเปลี่ยนมาใช้ HR tech ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการ SME สนใจเกี่ยวกับระบบ Attendance และ Payroll ทาง Jobcan ขอเชิญชวนท่านเข้าร่วมการสัมมนา HR ในหัวข้อ “รู้ก่อนใคร! เตรียมตัวเข้าสู่ HR ยุคอนาคต กับระบบ HR On Cloud” รายละเอียดการสัมมนา HR ในครั้งนี้ มีดังนี้ วัน : 4 สิงหาคม 2565 (พฤ) เวลา : 14.00 – […]

payroll คือ

โปรแกรมเงินเดือนสำหรับ HR ยุคใหม่! ทำไมต้อง Jobcan Payroll?

เรื่องอื่นยอมได้ แต่เรื่องเงินยอมไม่ได้! แจ้งเตือนเงินเข้าตอนสิ้นเดือน เห็นเมื่อไรก็ทำให้ใจฟูได้เสมอ เงินเดือนนับว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพนักงานในองค์กรที่ HR ต้องบริหารจัดการด้วยความใส่ใจและรอบคอบ เพราะเงินเดือนเป็นค่าตอบแทนสำหรับการตั้งใจทำงานของพนักงานแต่ละคนในเดือนที่ผ่านมา ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการใช้ชีวิต การรู้เท่าทันความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และนำซอฟต์แวร์มาช่วยในการบริหารงานบุคคลเพื่อเพิ่มความรวดเร็วและเพิ่มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการจัดทำบัญชีและจ่ายเงินเดือนพนักงานนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดข้อผิดพลาดและขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น การทำเงินเดือนเป็นงานที่ต้องอาศัยความละเอียดรอบคอบ จึงใช้เวลาทำงานค่อนข้างมาก เนื่องจาก การคำนวณเงินเดือนของพนักงานมีรายละเอียดยิบย่อยจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดชั่วโมงการทำงาน จำนวนเงินเดือน รวมไปถึงการคำนวณภาษีและเงินประกันสังคมของพนักงานแต่ละคนซึ่งจะแตกต่างกันออกไป แม้ว่าปัจจุบันหลายบริษัทจะว่าจ้าง outsource ในการทำเงินเดือน แต่วิธีที่ง่ายกว่า ประหยัดกว่า และสะดวกยิ่งกว่าสำหรับการทำเงินเดือนในยุคนี้คือ การใช้ตัวช่วยคำนวณเงินเดือนออนไลน์ หรือ Payroll System Payroll คืออะไร? จำเป็นอย่างไรต่อองค์กร Payroll คือ ระบบคำนวณเงินเดือนออนไลน์ เป็นเทคโนโลยีที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกสบายในฝ่ายงานบริหารบุคคล ซึ่งมีฟังก์ชันครอบคลุมตั้งแต่การคำนวณเงินเดือนจากชั่วโมงการทำงาน การคำนวณภาษี หักภาษี ณ ที่จ่าย ไปจนถึงการออกสลิปเงินเดือนออนไลน์ โดยข้อดีของการใช้ระบบ Payroll มีดังนี้ Payroll ช่วยประหยัดเวลาทำงาน เนื่องจากมีรายละเอียดยิบย่อยต่าง ๆ ที่ต้องนำมาคิดคำนวณ ดังนั้นการทำเงินเดือนแต่ละครั้งจึงต้องใช้เวลาตรวจทาน เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นกับเงินเดือนของพนักงาน แต่ระบบ Payroll […]

เตรียมตัวสัมภาษณ์งานเรื่องใหญ่… สัมอย่างไรให้โดนใจ HR!

เมื่อได้รับการแจ้งให้ไปสัมภาษณ์ที่บริษัทแล้วก็ทำให้หลายคนต้องกังวลกับการพบเจอกันในครั้งแรกว่าจะสามารถสร้างความประทับใจได้อย่างเต็มที่หรือไม่ ยิ่งการสัมภาษณ์ที่จะมีการประเมินว่าเหมาะสมกับการเข้าทำงานหรือไม่ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้หลายคนตื่นเต้นและกังวลกันมากขึ้นไปอีกว่าควรจะเตรียมพร้อมอย่างไรให้สัมภาษณ์ได้อย่างตรงใจ HR  วันนี้ JOBCAN จึงได้เอาเทคนิควิธีการเตรียมความพร้อมเพื่อให้สัมภาษณ์ได้อย่างโดนใจ และได้รับโอกาสในการทดลองงานในที่สุด โดยวิธีการเตรียมตัวนี้มีเพียง 7 วิธีง่ายๆ เท่านั้น เชื่อว่าทุกคนสามารถเตรียมพร้อมได้อย่างแน่นอน มาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง เตรียมตัวและเอกสารให้พร้อม ในการสัมภาษณ์งานนั้นนับเป็นการนำเสนอความสามารถของผู้ถูกสัมภาษณ์ทางหนึ่ง และยังเป็นการประเมินถึงนิสัย ความรับผิดชอบและแนวความคิดในการทำงานและใช้ชีวิตในเบื้องต้นอีกด้วย ดังนั้นการเตรียมความพร้อมในเรื่องเอกสารส่วนตัวและการนำเสนอผลงานจึงเป็นจุดหนึ่งที่ต้องลิสต์เอาไว้และเช็คอย่างน้อย 2 รอบเพื่อความแน่ใจว่าเอกสารและผลงานทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมอยู่ในกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว หรือใครที่ใช้วิธีการฝากไฟล์ไว้บนคลาวด์หรือบนเว็บไซต์ก็อย่าลืมเข้าไปตรวจเช็คว่าสามารถเปิดดูได้อยู่ ศึกษาบริษัทหรือองค์กรที่จะไปสัมภาษณ์ “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” ยังคงใช้ได้ในปัจจุบันแม้จะไม่ใช่การทำสงครามแต่ในยุคที่ทุกอย่างรายล้อมไปด้วยข้อมูลนี้ การหาข้อมูลรายละเอียดของบริษัทหรือองค์กรที่จะไปสัมภาษณ์นั้นไม่ใช่เรื่องยากมากนักทั้งยังจะช่วยให้สามารถตอบคำถามได้อย่างตรงจุดมากขึ้น นำเสนอผลงานหรือความสามารถที่ตรงกับความต้องการขององค์กรได้ด้วย และที่สำคัญยังทำให้องค์กรประทับใจในความกระตือรือร้นที่จะร่วมงานกันอีกด้วย  จัดเตรียมชุดให้เหมาะสม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการตัดสินผู้คนจากภายนอกนั้น เป็นส่วนหนึ่งที่ทุกคนและทุกองค์กรต่างทำกันทั้งนั้นเพราะการเลือกเสื้อผ้าและการดูแลตัวเองให้ดูเหมาะสมเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงความรับผิดชอบของผู้สมัครได้เป็นอย่างดี ซึ่งในวันสัมภาษณ์ควรมีการแต่งกายที่เหมาะสม โดยผู้ชายควรสวมเสื้อเชิ้ต กางเกงแสลคขายาวพร้อมกับรองเท้าหนังในการสัมภาษณ์ และผู้หญิงควรสวมชุดสุภาพเช่น เสื้อเชิ้ต กางเกงขายาวหรือกระโปรง หรือชุดเดรสพร้อมกับรองเท้าหุ้มส้นอย่างรองเท้าหนังหรือคัตชู เป็นต้น ศึกษาผลงานของบริษัทและ Job Description การคัดเลือกความสามารถของผู้สมัครเพื่อร่วมงานกันนั้น บางครั้งอาจไม่ได้วัดกันที่ความสามารถเสมอไป แต่ยังดูที่สไตล์ของการทำงาน แนวทางหรือความพิเศษเฉพาะทางบางอย่างที่ตรงกับผลงานของบริษัท ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถพบเจอได้ใน Job Description ดังนั้น จึงควรทำการศึกษาถึงผลงาน แนวทางการทำงานและหน้าที่ที่จะได้รับมอบหมายว่าจะออกมาเป็นอย่างไร […]

Withholding tax คืออะไร? คำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับพนักงานได้ง่ายๆ คลิกเลย!

หลายคนคงสงสัยกันว่า Withholding Tax คืออะไร? แล้วควรนำมาคำนวณร่วมกับเงินเดือนอย่างไรเมื่อต้องจ่ายให้กับพนักงาน ซึ่งเป็นส่วนที่ผู้จ่ายเงินจะต้องคำนวณและหักไว้เอง โดยปัญหาตรงนี้นั้นหลายคนเลือกใช้ระบบคำนวณเงินเดือนเข้ามาช่วยเหลืออย่างเช่น JOBCAN Payroll ซึ่งจะมีการคำนวณภาษีให้อย่างเสร็จสรรพ เรียกว่าช่วยลดความยุ่งยากไปได้มากทีเดียว แต่ถึงอย่างเรื่องการคำนวณภาษีนี้ ผู้รับผิดชอบการคำนวณเงินควรจะรู้วิธีการคำนวณเอาไว้บ้าง วันนี้ JOBCAN จึงได้นำเอาวิธีการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายหรือ Withholding Tax คืออะไร ต้องคำนวณอย่างไรบ้าง มาฝากให้อย่างละเอียดกันเลย Withholding Tax คือ ? Withholding Tax คือ ภาษีที่กฎหมายกำหนดให้มีการหักไว้ก่อนจ่ายเงินเดือน โดยมีผู้จ่ายเงินเป็นผู้หักออก โดยส่วนใหญ่ผู้จ่ายเงินจะส่งมอบหลักฐานเป็น “หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย” ให้แก่ผู้รับเงินด้วย แม้ว่าผู้จ่ายเงินจะเป็นเป็นผู้หักออกไปตั้งแต่ต้น แต่ในการหักภาษีครั้งนี้จะนับเป็นเครดิตภาษีของได้รับเงินแทน และการหักภาษี ณ ที่จ่ายของพนักงานประจำหรือมนุษย์เงินเดือนนั้น จะมีการหักตามอัตราภาษีดังนี้ วิธีการคำนวณ Withholding Tax ของพนักงาน ในการคำนวณ Withholding Tax นั้นจะไม่คำนวณตามตัวเท่ากันทุกเดือนและยังมีความแตกต่างกันเมื่อจำนวนของเงินได้ต่อเดือนไม่เท่ากัน เช่น มีการรับโบนัสหรือเงินพิเศษอย่างค่าล่วงเวลา ค่าคอมมิชชั่น เป็นต้น […]

เงินชดเชยเลิกจ้าง

คนทำงานต้องรู้! กรณี “ถูกเลิกจ้าง” ต้องได้รับเงินชดเชยเท่าไร

ในสถานการณ์ที่ไม่อาจทราบได้ว่าการระบาดของเชื้อไวรัสจะส่งผลอย่างไรต่อไป การวางแผนอนาคตถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจและมนุษย์เงินเดือนทุกคน จะเห็นได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่เชื้อไวรัสระบาดขั้นรุนแรงจนส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศถดถอย หลายบริษัทไม่สามารถรับมือกับสภาวะขาดทุนได้ บวกกับการไม่มีเงินทุนสำรองเพียงพอ ส่งผลให้บริษัทเหล่านั้นต่างพากันทยอยปิดกิจการและทำให้ลูกจ้างถูกลอยแพจากการเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม ในวันนี้ Jobcan จึงอยากชวนผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของธุรกิจ รวมไปถึงกลุ่มลูกจ้างมนุษย์เงินเดือนมาเรียนรู้กฎหมายที่กำหนดไว้เกี่ยวกับเงินชดเชยกรณีเลิกจ้าง เพื่อเป็นเกร็ดความรู้สำหรับผู้ประกอบการว่าหากธุรกิจไปต่อไม่ไหวต้องแจ้งลูกจ้างอย่างไร ในส่วนของลูกจ้างก็จะสามารถรับมือได้อย่างถูกต้องหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นในอนาคต เงินชดเชยกรณีเลิกจ้างคืออะไร เงินชดเชยเลิกจ้าง คือ เงินที่ลูกจ้างจะต้องได้รับจากนายจ้าง หากเกิดการเลิกจ้างกะทันหันโดยลูกจ้างไม่สมัครใจ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดสิทธิของลูกจ้างต่อกรณีการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมโดยมีเงื่อนไขว่า นายจ้างต้องแจ้งให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าก่อนการเลิกจ้าง ห้ามนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างด้วยเหตุผลอันไม่สมควร หากเกิดการเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมขึ้นโดยไม่ได้มีการบอกกล่าวล่วงหน้าและนายจ้างไม่สามารถรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานได้ นายจ้างจะต้องจ่ายเงินชดเชยกรณีเลิกจ้างให้กับลูกจ้างตามที่กฎหมายกำหนด เงื่อนไขที่ลูกจ้างต้องได้รับเงินชดเชยกรณีเลิกจ้าง ลูกจ้างจะได้รับเงินค่าชดเชยจากนายจ้างเมื่อต้องออกจากงานโดยไม่สมัครใจ โดยมีเงื่อนไขคือลูกจ้างต้องมีอายุงานครบ 120 วันขึ้นไป และต้องไม่กระทำผิดหรือถูกเลิกจ้างจากสาเหตุดังต่อไปนี้ ลูกจ้างลาออกเองโดยสมัครใจ ลูกจ้างมีเจตนาทุจริตต่อนายจ้าง ลูกจ้างจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ลูกจ้างประมาทเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายร้ายแรง ลูกจ้างฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับในการทำงาน ลูกจ้างขาดงานติดต่อกันเกิน 3 วันโดยไม่มีเหตุอันควร ลูกจ้างได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา เลิกจ้างตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา เงินชดเชยกรณีเลิกจ้างต้องได้รับเท่าไร ตามกฎหมายแล้ว เงินชดเชยเลิกจ้างที่ลูกจ้างจะได้รับนั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ค่าชดเชยถูกเลิกจ้าง และค่าชดเชยพิเศษ ค่าชดเชยถูกเลิกจ้าง หากมีการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมกับลูกจ้างแบบกะทันหัน ลูกจ้างสามารถเรียกร้องเงินชดเชยกับนายจ้างได้ โดยจำนวนเงินชดเชยจะขึ้นอยู่กับเกณฑ์ตามอายุงานของลูกจ้าง ดังนี้ 1. […]

5 สเต็ป…เอาชีวิตรอดช่วงทดลองงาน ทำยังไงให้ผ่านโปร

หลังจากผ่านด่านการสัมภาษณ์งานมาแล้ว พนักงานใหม่หลายคนก็จะต้องมาลุ้นกันอีกครั้งในด่านการทดลองที่อาจทำให้หลายคนต้องลุ้นระทึก เพราะผ่านด่านมาตั้งมากมายจนได้มาถึงตรงนี้ แต่หากต้องถูกคัดออกเพราะทดลองงานไม่ผ่านนี่ก็นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากทีเดียว ดังนั้น JOBCAN จึงได้รวบรวมเอาเทคนิคขั้นตอนที่จะช่วยให้สามารถเป็นผู้รอดชีวิตในช่วงทดลองงานอย่างแท้จริงได้ โดยที่ทุกสเต็ปเหล่านี้สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกอาชีพ ทุกองค์กรอย่างแน่นอน จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย ตรงต่อเวลา กำหนดเวลาการทำงานเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นองค์กรใดก็มีอยู่ และยังเป็นด่านประเมินขั้นพื้นฐานของช่วงทดลองงานอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเข้างาน การส่งงานหรือการเข้าประชุม ล้วนมีเวลาที่กำหนดเอาไว้แล้ว และมีการบันทึกเวลาอย่างตรงไปตรงมาด้วยการใช้ระบบบันทึกเวลาอย่าง Jobcan Attendance Management ก็จะช่วยให้ทั้งพนักงานและองค์กรสามารถมองเห็นและบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากกฎพื้นฐานอย่างเรื่องการรักษาเวลายังทำได้ไม่ดีพอเช่น มาสายอยู่บ่อยครั้ง ส่งงานไม่ตรงตามกำหนดเวลา หรือไม่มีการเผื่อเวลาสำหรับการแก้งานหรือสอบถามเพิ่มเติม อาจทำให้องค์กรประเมินว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีการวางแผน ไม่มีความกระตือรือร้นในการทำงาน คะแนนในการประเมินจึงออกมาต่ำ จนถึงขั้นที่ไม่ผ่านช่วงทดลองงานได้ เรียนรู้เป้าหมายของการทำงานและองค์กร ในการรับพนักงานใหม่เข้าทำงานนั้น องค์กรหรือบริษัทจะมีการพิจารณาจากหลายส่วนด้วยกัน แต่สิ่งที่สำคัญซึ่งทำให้เข้ามาถึงช่วงทดลองงานได้นั้นย่อมเป็นเพราะองค์กรมีความเชื่อมั่นว่าพนักงานใหม่จะสามารถเติมเต็มช่องโหว่ หรือศักยภาพที่ขาดหายไปขององค์กรได้ ดังนั้นหากสามารถรับรู้ได้ถึงความต้องการขององค์กรอย่างชัดเจน ก่อนจะช่วยให้สามารถแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างตรงเป้าหมาย ซึ่งความต้องการขององค์กรนั้นสามารถรู้ได้จากเป้าหมายขององค์กร ซึ่งจะทำให้มองภาพรวมของทิศทางการทำงานได้ง่ายขึ้น จากนั้นก็วิเคราะห์ถึงงานที่ได้รับมอบหมายว่าทำเพื่ออะไร มีความเกี่ยวข้องกับแผนกใดบ้าง และสิ่งที่บริษัทหรือองค์กรต้องการ โดยอาจจะสอบถามกับฝ่ายบุคคลหรือเพื่อนร่วมงานเลยก็ได้ ว่าเป้าหมายในหน้าที่ที่ได้รับนี้คืออะไร หากสามารถทำงานได้อย่างตรงตามความต้องการขององค์กรแล้ว ทำไมจะให้ไม่ผ่านช่วงทดลองงานได้อีกล่ะ เปิดใจรับวัฒนธรรมองค์กร สิ่งหนึ่งที่มีส่วนในการประเมินของช่วงทดลองงานอย่างมากคือ การปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมองค์กรนั่นเอง ไม่เพียงแต่องค์กรที่จะประเมินส่วนนี้เพราะพนักงานเองก็ควรพิจารณาถึงสังคมการทำงานอย่างวัฒนธรรมองค์กรด้วยเช่นกัน ว่าสามารถอยู่ร่วมกันได้หรือไม่  โดยส่วนของวัฒนธรรมองค์กรที่ควรให้ความสำคัญในช่วงการทดลองงานนั้นมักจะเป็นเรื่องของการร่วมกิจกรรมเช่น การประชุมใหญ่ การกินเลี้ยงขององค์กร หรือการเล่นเกมผ่อนคลายระหว่างพักเที่ยง […]