เมื่อ Gen Z มีวิถีการทำงานที่เปลี่ยนไป.. องค์กรควรรับมืออย่างไร?

ในตอนนี้โลกของการทำงานไม่ได้มีแค่คนรุ่นเก่าอีกต่อไป.. เมื่อในยุคนี้เด็ก Gen Z หลายๆ คนได้เข้ามาสู่โลกของการทำงานในฐานะ First Jobber ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่องค์กรต่างๆ จะต้องทำความเข้าใจว่าพวกเขาเหล่านั้นมีแนวคิดอย่างไรและให้ความสำคัญกับอะไร รวมถึงอาจมีการปรับเปลี่ยนบางอย่าง เพื่อที่จะดึงดูดเด็กรุ่นใหม่ที่มีความสามารถเข้ามาทำงานด้วยกัน

เรามาทำความรู้จักกับช่วงอายุในแต่ละ generation กันก่อน

เราจะเห็นได้ว่า Gen Z จะมีอายุระหว่าง 10-25 ในขณะนี้ ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาของการเรียนจบและเริ่มต้นทำงาน ทำธุรกิจของตัวเอง ในขณะเจนใกล้เคียงคือ Millenials หรือ Gen Y อยู่ระหว่าง 26-41 ปีเป็นประชากรส่วนใหญ่ในองค์กรที่อยู่มาก่อนหน้า

มาดูกันว่าคนรุ่นใหม่มีอุปนิสัยและแนวคิดเกี่ยวกับการทำงานอย่างไร

5 คุณสมบัติของเด็ก Gen Z

1. การเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี

เด็ก Gen z เติบโตมากับอุปกรณ์ดิจิตอลตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ทำให้มีความเชี่ยวชาญและความคล่องแคล่วในการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว มีการใช้เครื่องมือต่างๆเข้าช่วยจัดการงานที่ตัวเองได้รับมอบหมายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

2. ให้คุณค่ากับงานที่ตัวเองทำ

งานที่ Gen z เลือกทำจะไม่ใช่แค่งานที่ทำผ่านๆ เพื่อเลี้ยงชีพเพียงอย่างเดียว แต่มีแนวโน้มที่จะเลือกงานที่จะสามารถเติมเต็มความสุขและคุณค่าของชีวิต โดยเป็นงานที่ชอบและทำให้รู้สึกว่าตื่นมาแล้วอยากทำ เป็นงานที่มีความหมาย ซึ่งผลงานที่ออกมาจะต้องเป็นผลงานที่สามารถจับต้องได้ และสามารถนับเป็นหนึ่งในความสำเร็จของชีวิต

3. ให้ความสำคัญกับเวลา

คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับเวลาอย่างมาก โดยเฉพาะการมี Work Life Balance ที่ดีการแบ่งเวลาทำงานและเวลาพักผ่อนอย่างลงตัวจะทำให้คนรุ่นใหม่สนใจในองค์กรมากยิ่งขึ้น องค์กรที่เข้าไปทำงานด้วยควรเป็นองค์กรที่มอบผลตอบแทนให้สอดคล้องกับงานที่ทำ ได้รับเงินเดือนที่สมเหตุสมผล และมองว่าการ Work smart เป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าการ Work hard เพียงอย่างเดียว จากการลดระยะเวลาการทำงาน แต่คงประสิทธิภาพเอาไว้

4. ชอบพัฒนาตัวเอง เรียนรู้อะไรใหม่ๆ

ในยุคที่การแข่งขันสูงและมีการเข้าถึงความรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา การมีความรู้จากที่เรียนเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ  เด็กรุ่นใหม่จึงมีอุปนิสัยที่ชอบขวนขวายความรู้ พัฒนา soft skills และหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอโดยการใช้ประโยชน์จากโลกออนไลน์ที่พวกเขาคุ้นชิน  

ในยุคดิจิตอล การจบไม่ตรงสายอาจไม่ใช่อุปสรรคในการหางานแบบคนรุ่นเก่าอีกต่อไป หากเราลองดูในอินเทอร์เน็ต ก็จะเจอคอร์สมากมายไม่ว่าจะรูปแบบฟรี เช่น Youtube หรือในรูปแบบเสียเงินผ่านการ subscription รายเดือนหรือปี ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้ฝึกฝนและพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นได้โดยใช้เวลาว่างของตัวเอง ซึ่งเป็นประโยชน์ในการหางานที่อยากทำ และก้าวหน้าในสายอาชีพของตัวเอง

5. รักในความเป็นอิสระ มีความคิดริเริ่ม

เด็ก Gen Z ค่อนข้างชอบองค์กรที่มีความยืดหยุ่นในการทำงาน เช่น มีทางเลือกการเข้างานที่หลากหลาย เวลาเข้าออกงานสามารถปรับเปลี่ยนได้ เช่น การเปลี่ยนกะตามที่สะดวก การ Work From Home โดยเน้นที่ผลงาน ไม่ใช่การทำงานตามเวลาแต่ไร้ประสิทธิภาพ รวมถึงชอบการมีอิสระในการคิดริเริ่มและนำเสนอไอเดียใหม่ๆ โดยไม่ยึดติดกับระบบแบบเดิมๆ  แต่เน้นการเคารพความคิดเห็นทุกคนอย่างเท่าเทียมกันมากกว่า

จบไปแล้วกับ 5 คุณสมบัติของเด็ก Gen z ในยุคปัจจุบัน เรามาดูกันว่าองค์กรจะสามารถปรับเปลี่ยนบางอย่างเพื่อพร้อมรับมือกับพวกเขาได้ยังไงบ้าง

4 วิธีปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อรับมือกับเด็ก Gen z

1. มีพื้นที่ให้แสดงความคิดเห็นและลองทำอะไรใหม่ๆ 

ผู้บริหารอาจคิดว่าทำได้ยาก เนื่องจากการเปิดให้เด็กรุ่นใหม่มีอำนาจในการตัดสินใจหรือเป็นเจ้าของโปรเจกต์ใดๆ เอง ในตอนแรกอาจเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากไม่มีประสบการณ์มากพอ

ในความเป็นจริง บริษัทอาจเริ่มต้นด้วยการมอบโอกาสในการมีส่วนร่วมในการทำงานจากตำแหน่งเล็กๆ แล้วค่อยๆ เปิดโอกาสให้เติบโตโดยการรับผิดชอบงานที่ใหญ่กว่ามากขึ้น 

รวมถึงเปิดโอกาสให้เสนอความคิดเห็นโดยที่พนักงานคนอื่นๆ ต้องมีความ Open-minded คือมีความคิดที่เปิดกว้างและยอมรับฟังอย่างไร้อคติ เพิ่มโอกาสในการเติบโตให้คนรุ่นใหม่ได้ลงมือทำจริงและสร้าง impact ให้กับองค์กร

2. ปรับระบบการทำงานให้เหมาะสมกับโลกยุค Digital

หรือเรียกอีกอย่างว่า Digital transformation ทำได้โดยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในบริษัท ตัวอย่างเช่น HR Technology ระบบตอกบัตรออนไลน์ผ่านมือถือ ในช่วง WFH ที่เข้ามาแทนที่จะเป็นการตอกบัตรแบบออฟไลน์ และมีการใช้ซอฟต์แวร์เพื่อสื่อสารแบบออนไลน์ภายในบริษัท เช่น Slack เป็นต้น 

เทคโนโลยีเหล่านี้จะไม่ได้ส่งผลต่อ Gen z เพียงอย่างเดียวแต่จะส่งผลต่อพนักงานทั้งบริษัทเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงส่งผลต่อภาพลักษณ์องค์กรให้มีความทันสมัยมากขึ้นอีกด้วย

3. เสริมสร้างการเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง

สวัสดิการมาแรงสำหรับหลายๆ บริษัทในปัจจุบัน คือการการแจกคอร์สอบรมเพื่อพัฒนาทักษะให้กับพนักงาน ซึ่งจะส่งผลดีในระยะยาวต่อตัวพนักงานเอง เนื่องจากทักษะจะอยู่ติดตัวไปตลอด และจะส่งผลให้มีการเติบโตที่มั่นคงแก่บริษัทจากได้บุคลากรที่เก่งขึ้นโดยไม่ต้องหาคนเข้ามาแทนที่นั่นเอง

4. เปิดใจและทำความเข้าใจ รวมถึงเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับองค์กร

สำหรับคนรุ่นใหม่ หน้าที่การงานอาจไม่ใช่คำตอบทุกอย่างของชีวิต แต่เป็น Work Life Balance ที่กล่าวไปข้างต้น เพื่อให้มีเวลาไปทำอย่างอื่นที่ตนสนใจ องค์กรอาจมีการยืดหยุ่นให้พนักงานต่อรองวันหยุด วันลา หรือวัน WFH ของตนเองเท่าที่ทำได้ เป็นต้น

คนรุ่นเก่าอาจเน้นไปที่กฎระเบียบในการทำงานอย่างเคร่งครัด เข้าออกงานตามเวลา แต่งชุดยูนิฟอร์มของบริษัท มีลำดับขั้นในที่ทำงานชัดเจน ถือเป็นเรื่องที่ดีในฝึกระเบียบวินัยของตนเอง

แต่กับคนรุ่นใหม่แล้วพวกเขาให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นองค์กรควรมีความยืดหยุ่นที่จะประสานข้อดีของทั้ง 2 ฝ่ายมาไว้รวมกัน เพื่อให้การทำงานออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด 

เป็นเรื่องของผู้บริหารยุคใหม่ที่จะทำความเข้าใจและเปิดใจยอมรับ เพื่อที่จะได้ดึงศักยภาพพวกเขาออกมาได้สูงสุด มีการยืดหยุ่นในการทำงาน และกลับมาคิดวิธีสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงาน โดยที่พนักงานจะมีความสุขไปพร้อมๆ กัน เช่น บางบริษัทอาจมีเกมให้เล่นหรือโซฟาไว้นั่งพักผ่อนในช่วงเวลาพักอีกด้วย 

สรุป

ถึงคน Gen z จะมีแนวคิดที่แตกต่างจากคนรุ่นเก่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าองค์กรจำเป็นต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับยุคปัจจุบันมากยิ่งขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมรับบุคคลเหล่านั้นเข้ามาทำงาน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่ให้คุณค่ากับความสำเร็จของตัวเอง

แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับโลกวัยทำงานเช่นกัน วิธีที่แน่นอนที่สุดคือการร่วมพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของทุก Generations เพื่อหาข้อสรุป ซึ่งข้อสรุปนั้นจะทำให้บริหารองค์กรได้อย่างราบรื่น เกิดความพึงพอใจแก่ทุกฝ่าย และก่อให้เกิดองค์กรที่ทำให้คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยต่อไป